MacBook 12 นิ้วที่ Air มากกว่า MacBook Air, รอยบาก, รอยถลอก, และสติกเกอร์

MacBook Retina 12 นิ้ว (2017) ของเราพังตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เป็นการพังแบบที่ซ่อมไม่ได้ เว้นแต่จะเลือกเปลี่ยนทั้งเมนบอร์ด ซึ่งนั่นหมายถึงข้อมูลที่มีก็จะหายหมดเลย และข้อมูลก็คือสาเหตุหลักที่เราอยากซ่อม MacBook เครื่องนี้ตั้งแต่แรก ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าเราดูแลเรื่องสำรองข้อมูลสำคัญของตัวเองดีแล้ว เพราะไฟล์งานทั้งหมดของเราล้วนแล้วแต่เก็บอยู่บนคลาวด์ จนเมื่อเครื่องพังขึ้นมาจริงๆ ถึงรู้ว่ายังมีสิ่งที่สำคัญกว่างาน และมันก็หายไปตลอดกาลเพราะเราเพิ่งจะมาตระหนักรู้ว่ามันเป็นสิ่งสำคัญ ตอนนี้ก็เลยผันตัวมาเป็นคนที่เก็บแทบทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่สามารถหามาทดแทนเอาไว้บนระบบคลาวด์เสมอ

เรื่องหนึ่งที่เราเพิ่งมาพบระหว่างหาข้อมูลวันวางจำหน่าย MacBook Air รุ่นล่าสุดก็คือ MacBook Retina ที่ไม่เพียงแต่จะเป็นคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดที่เราเคยใช้จนถึงวันที่มันพังแต่ยังเป็นการจ่ายเงินซื้อของที่คุ้มค่าที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเรา MacBook รุ่นเดียวกันนี้คือรุ่นที่หลายคนลงความเห็นว่าห่วยที่สุด คะแนนวิจารณ์ถูกสับเละไม่เหลือชิ้นดี แต่สำหรับเราแล้วนี่คือคอมพิวเตอร์ที่ตอบโจทย์เรื่องของความสะดวกในการพกพาไปไหนต่อไหน และมีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการทำงานและดูหนังฟังเพลงแทบทุกชนิด คือถ้าเข้าร้าน Apple Store ตอนนั้นแล้วตั้งใจจะซื้อคอมพิวเตอร์ที่สะดวกต่อการพกพา จากตัวเลือกคอมพิวเตอร์สามรุ่นที่มีตอนนั้นอย่าง MacBook Retina 12 นิ้ว, MacBook Air, และ MacBook Pro ก็แทบไม่ต้องคิดมากเลยว่า MacBook Retina 12 นิ้ว คือตัวเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจาก MacBook รุ่นนี้มีความ Air มากกว่า MacBook Air เมื่อตอนนั้นมาก และก็ยังมีความ Air มากกว่า MacBook Air รุ่นปัจจุบันปี 2025 อยู่ดี

ปัจจุบันเราเลือกซื้อ MacBook Air M4 มาใช้งาน เรื่องประสิทธิภาพแน่นอนว่าดีกว่าเครื่องเก่ามาก แต่เรื่องความสะดวกต่อการพกพาก็ลดลงมากจากการออกแบบที่เทอะทะขึ้นและความเบาบางที่ลดลง ตอนจับดูที่ Apple Store นี่ต้องเลื่อนสายตามาดูป้ายราคาถึงจะรู้ว่าเครื่องไหนคือ MacBook Air และเครื่องไหนคือ MacBook Pro แต่จุดหนึ่งที่ทำให้การซื้อ MacBook Air ที่ประสิทธิภาพดีกว่าและราคาย่อมเยากว่า MacBook 12 นิ้วมากกลายมาเป็นการจ่ายเงินที่รู้สึกเสียดายที่สุดครั้งหนึ่งของเราก็คือ Notch หรือที่หลายคนเรียกว่ารอยบากนั่นเอง

เราเกลียดดีไซน์ Notch มาตั้งแต่ตอน Apple เริ่มเอามาใช้กับ iPhone แต่ก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคล บางคนเกลียด บางคนเฉยๆ และคนที่รู้สึกชอบจริงๆ ก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย และยังมีผู้คนมากมายออกตัวว่าตอนแรกก็เกลียดแต่พอใช้ไปเรื่อยๆ ก็ชิน ตัวเราที่มีเวลาหาข้อมูลพอสมควรก่อนวันวางจำหน่ายก็ยังคิดว่าถ้าซื้อ MacBook รุ่นที่มี Notch มาก็ยังสามารถใช้แอปเพื่อเปลี่ยน Menu Bar เป็นสีดำกลืนไปกับ Notch ทำให้ไม่ต้องทนเห็นดีไซน์แย่ๆ รบกวนสายตา สุดท้ายจึงซื้อ MacBook Air M4 มาแทนเครื่องเก่า เพราะครั้นจะเสียเงินหลายหมื่นเพื่อซื้อคอมพิวเตอร์ Apple รุ่นสุดท้ายที่ไม่มี Notch ซึ่งออกวางจำหน่ายตั้งแต่เมื่อห้าปีที่แล้วก็ไม่อยากทำเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เราเพิ่งมาพบด้วยตัวเองและไม่เคยเห็นหรือได้ยินแม้แต่คนเดียวพูดถึง ก็คือดีไซน์ Notch บน MacBook มอบประสบการณ์ที่แย่มากสำหรับการดูภาพยนตร์ ชนิดที่ไม่สามารถที่จะชินได้เลยจริงๆ

ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?

เวลาดูภาพยนตร์บน MacBook เนี่ย ตัวภาพยนตร์จะไม่ได้กินพื้นที่บนหน้าจอทั้งหมด แต่จะกินพื้นที่ประมาณหนึ่งในสามหรือสองในสาม แล้วแต่อัตราส่วนของภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ พื้นที่ด้านบนและด้านล่างของหน้าจอที่ไม่ใช่ตัวภาพยนตร์จะเปลี่ยนเป็นสีดำทั้งหมด แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่สีดำจากหน้าจอคอมพิวเตอร์กับสีดำจาก Notch นั้นไม่เหมือนกัน สีดำจากหน้าจอมีความสว่างจากแสงไฟ ขณะที่สีดำจาก Notch คือสีดำที่มืดสนิทจากการที่บริเวณนั้นไม่ใช่พื้นที่แสดงผล เมื่อเป็นแบบนี้เวลาดูภาพยนตร์หรือซีรีส์ ความมืดของส่วนที่เป็น Notch กับความสว่างของหน้าจอจะตัดกันชัดเจนมาก จนมีความรู้สึกเหมือนกับกำลังดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจากเบาะหลังรถยนต์แล้วมีกระจกมองหลังมาบังสายตาอยู่ตลอดเวลา

หลายคนบอกว่า Notch คือวิธีที่ฉลาดมากๆ ในการใช้พื้นที่หน้าจอที่ควรจะเสียไปเฉยๆ แต่ถ้าการได้พื้นที่ตรงนั้นกลับมาต้องแลกมากับการลดลงของประสบการณ์อื่น เราก็รู้สึกว่าไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไหร่ เปรียบเหมือนการเอาเก้าอี้พลาสติกมาทากาวติดกับประตูรถบดบังการมองเห็นแล้วบอกว่าเป็นวิธีที่ฉลาดในการเพิ่มจำนวนผู้โดยสาร

เห็นว่า Apple จะเริ่มปรับปรุงดีไซน์ไปใช้การซ่อนกล้องแบบ Dynamic Island หรือ Punch Hole แทน แต่เราคิดว่าถ้าหน้าจอ MacBook ยังไม่ได้มืดสนิทปัญหานี้ก็น่าจะยังคงอยู่ และโอกาสที่ Apple จะกลับไปใช้ดีไซน์แบบเก่าก็น่าจะยาก บางทีคนที่ชอบดูหนังดูซีรีส์บน MacBook แล้วไม่อยากเสียอารมณ์ก็อาจต้องรอจนถึงวันที่เทคโนโลยีกล้องใต้หน้าจอพัฒนาจนมีราคาถูกและดีพอสำหรับ MacBook เลยหรือเปล่านะ ถ้าวันนั้นมาถึงเร็วๆ ก็คงดี

บ่นเรื่อง Notch เสร็จก็ขอกลับมาเล่าเรื่อง MacBook เครื่องเก่าต่อ นอกจากเรื่องความเสียดายข้อมูลที่ไม่มีทางได้กลับคืนมา ก็ยังมีสิ่งที่คิดว่าจะเสียดายแต่เอาเข้าจริงแล้วกลับไม่เสียดายเลย นั่นก็คือสติกเกอร์ต่างๆ ที่เราเลือกติดบนตัวเครื่อง ตอนแรกๆ เราเคยซื้อสติกเกอร์สวยๆ มาติด แต่พอสวยแล้วไม่ได้มีความหมาย ไม่ได้มีความผูกพันอะไร ติดได้ไม่เกินเดือนเราก็ลอกออก สุดท้ายก็เลยเลือกติดเฉพาะสติกเกอร์ที่แถมมากับสิ่งของต่างๆ ที่ซื้อ ทำเป็นเหมือนกับบันทึกส่วนตัวอีกทางหนึ่งด้วย และเพราะเป็นสติกเกอร์ที่แถมมากับสิ่งอื่น นั่นก็หมายความว่าถ้าเกิดนึกอยากได้สติกเกอร์พวกนี้ขึ้นมาอีกทีก็อาจจะหาซื้อไม่ได้แล้ว ก็เลยเคยหมดเวลาพักหนึ่งกับการหาวิธีลอกสติกเกอร์จากคอมพิวเตอร์เครื่องเก่ามาแปะลงบนคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ แต่พอถึงเวลาจริงๆ แล้วก็ไม่ได้อยากแกะมาติดแล้ว เพราะเวลาผ่านไปตัวเราเองก็เปลี่ยนแปลงไป ความคิดความชอบของเราก็เปลี่ยนแปลงไป ก็เลยอยากที่จะเริ่มบันทึกสิ่งใหม่ๆ ด้วยสติกเกอร์ใหม่ๆ กับคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่มากกว่า

นอกจากสิ่งที่คิดว่าจะเสียดายแต่กลับไม่เสียดาย ก็ยังมีสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเสียดายแต่กลับเสียดาย นั่นก็คือร่องรอยบนตัวเครื่อง ร่องรอยแรกคือรอยถลอกค่อนข้างลึกแถวช่องเสียบหูฟังที่เจอตั้งแต่แกะกล่อง ตอนนั้นด้วยความที่จ่ายเงินซื้อของที่มีราคาแพงขนาดนั้น (เกือบห้าหมื่น) เราก็ไม่อยากจะได้เครื่องที่มีตำหนิ แม้จะรู้ว่าสิ่งของเมื่อใช้ไปก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดริ้วรอย คิดอยู่นานว่าจะส่งเครื่องคืนดีไหม แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่ส่งคืนเพราะสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเราก็คือจอที่ไม่มีจุด Pixel เสีย และตอนนั้นเราไม่รู้ว่านโยบายของ Apple เป็นแบบไหนอย่างไร บริษัทผู้ผลิตสินค้าที่มีหน้าจอเป็นส่วนประกอบแทบทั้งหมดผ่านมาหลายสิบปีก็ยังคงระบุว่าจุดเหล่านี้ไม่ใช่อาการเสีย และจะเข้าข่ายเปลี่ยนเครื่องก็ต่อเมื่อมีจุดเสียเหล่านี้เกินจำนวนที่กำหนด ซึ่งเอาเข้าจริงถ้าแกะกล่องมาเจอหน้าจอที่มีจุดเสียเข้าข่ายตามจำนวนที่ผู้ผลิตบอกจริงๆ ก็เหมือนกับแกล้งกันมากกว่า พูดอีกอย่างก็คือถ้าถือตามนโยบายของผู้ผลิตแล้วนั้นผู้ซื้ออย่างเราก็จำเป็นต้องยอมรับของที่มีตำหนิและส่งผลต่อการรับชมภาพบนหน้าจอด้วยราคาที่จ่ายเท่ากับคนอื่นๆ อย่างช่วยไม่ได้ ซึ่งพอเราลองมาคิดดูแล้วจุดเสียบนหน้าจอเนี่ยต่อให้ไม่อยากมองก็เห็น แต่ร่องรอยบนตัวเครื่องถ้าไม่ไปพยายามสังเกตก็มองไม่เห็น เพราะฉะนั้นชัดเจนว่าการเลือกยอมรับเครื่องที่หน้าจอแสดงผลปกติแต่มีริ้วรอยบนตัวเครื่องนิดหน่อยย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการที่จะต้องมาลุ้นเรื่องจุดเสียบนหน้าจออีก

ระหว่างที่คิดว่าจะขายซากเครื่องเก่าทิ้งหรือจะเก็บไว้ดูต่างหน้าดีก็เกิดนึกถึงรอยถลอกที่ว่าขึ้นมา เลยจัดแจงตะแคงเครื่องดูซะหน่อย หลังพยายามเพ่งมองและพลิกเครื่องซ้ายขวาหน้าหลังอยู่นานก็พบรอยที่เล็กกว่าที่คิดมาก จนไม่แน่ใจว่าใช่รอยเดียวกับที่เคยทำเราคิดอยากเปลี่ยนเครื่องหรือเปล่า แต่คิดดูแล้วเราค่อนข้างถนอมเครื่อง เพราะฉะนั้นก็น่าจะเป็นรอยเดียวกันนั่นแหละ แต่อาจจะจางลงเพราะผ่านการจับการสัมผัสบ่อย หรือความจริงแล้วรอยถลอกอาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิม แต่เราอาจจะไม่ได้แคร์เรื่องนี้ขนาดนั้นแล้ว ประเด็นก็คือตอนแรกที่มองหารอยถลอกนี่ไม่เจอก็รู้สึกใจหายและเสียดายอยู่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่เคยอยากจะเสกให้หายไปใจจะขาดแท้ๆ

รอยอีกรอยคือรอยถลอกที่เกิดจากการพลิกเปิดจอคอมพิวเตอร์ของคนรู้จักที่นั่งทำงานฝั่งตรงข้ามมากระแทกด้านหลังจอคอมพิวเตอร์เรา ซึ่งเอาเข้าจริงเราก็ไม่แน่ใจว่ารอยที่ว่าเกิดจากเหตุการณ์นี้จริงหรือเปล่า เพราะถ้าจะเกิดรอยบนตัวเครื่องจากเหตุการณ์แค่นี้ก็หมายความว่าคอมพิวเตอร์เครื่องนี้บอบบางเป็นบ้าหรือไม่ก็คอมพิวเตอร์อีกเครื่องรวมถึงตัวเจ้าของเองแข็งแกร่งเป็นบ้า ซึ่งความเป็นไปได้ของแต่ละอย่างล้วนน้อยนิดจนไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น ถึงอย่างนั้นเราก็เจอรอยถลอกที่ไม่เคยพบมาก่อนบริเวณเดียวกับจุดที่ถูกกระแทก เราก็เลยถือว่านี่คือรอยที่เพิ่งเกิดขึ้น ณ ตอนนั้น

แน่นอนว่าถ้ากับรอยถลอกที่ลึกจนเคยทำเอาคิดจะส่งเครื่องคืนเรายังหาแทบไม่เจอหลังจากผ่านมาหลายปี กับรอยถลอกเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง คงจะถูกกัดกร่อนสูญสลายหายไปตามกาลเวลาจนหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ หรือจะเรียกว่าเป็นการเยียวยากันแน่นะ? ถ้ามองจากมุมมองของตัวเราเมื่อตอนนั้นที่เห็นความสวยงามของสิ่งของเป็นสิ่งสำคัญก็คงตอบได้ทันทีว่าเป็นการเยียวยา แต่ถ้ามองจากมุมมองของตัวเราตอนนี้ที่เห็นความสวยงามของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญก็คงพูดได้ว่าความเสียหายที่แท้จริงเพิ่งจะมาเกิดเอาก็ตอนนี้นี่แหละ

เอาไว้ตอนที่ MacBook เครื่องนี้พังหรือตอนที่ Apple บอกลาดีไซน์ที่สวยสะดุดตาจนประสบการณ์การรับชมภาพยนตร์ถึงกับสะดุดออกมาเมื่อไหร่คงได้กลับมาเขียนบอกลา MacBook เครื่องที่กำลังเขียนบล็อกอยู่นี่กันอีกที

จนกว่าจะถึงตอนนั้น

💋

ว่าด้วยการหนีสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องหนี

วันก่อนระหว่างทำงานอยู่ก็นึกขึ้นมาว่าเราลืมสวมหูฟังตัดเสียงรบกวนนี่นา ว่าแล้วก็เลยเอื้อมมือหยิบ WH-1000XM4 หูฟังที่สวมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย หรือว่าเย็น แต่ยังไม่ทันจะหยิบขึ้นสวมก็สังเกตว่าความจริงแล้วตอนนั้นไม่ได้มีเสียงรบกวนอะไรให้ต้องตัดออก รอบตัวมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศ เสียงรถวิ่งผ่านเป็นครั้งคราว และเสียงสิ่งมีชีวิตรอบอาคาร ซึ่งอันที่จริงก็ดูจะเหมาะกับการทำงานมากกว่าความเงียบสนิทปราศจากชีวิต

ก่อนหน้านั้นแทบจะเรียกว่าเวลาที่เราไม่ได้ใส่หูฟังก็มีแค่ตอนนอนกับตอนอาบน้ำ นอกเหนือจากนั้นไม่ว่าจะทำอะไรเราจะสวมหูฟังเสมอ แม้แต่ตอนอ่านหนังสือก็ยังสร้างความเงียบด้วยการสวมหูฟังแบบไม่เปิดเพลง นั่นเพราะสถานที่ที่เราอยู่เป็นแหล่งรวมของเสียงรบกวนนานาชนิด เสียงเดินลงส้นเท้าจากห้องข้างบน เสียงลากเก้าอี้ เสียงคุยโทรศัพท์ เสียงเปิดเพลงและร้องเพลงผ่านเครื่องขยายเสียง เสียงเรียกหาลูกค้าจากรถขายผลไม้ที่จอดอยู่ที่เดิมนานนับชั่วโมง เสียงหมาเห่าอย่างบ้าคลั่ง เสียงนกกาเหว่าร้องอย่างไม่หยุดยั้ง และเสียงไก่ขันตั้งแต่เช้าจรดเย็น

เมื่ออยู่สถานที่แบบนั้นทุกวันก็ทำเอาประสาทเสีย กลายเป็นพวกกลัวการถอดหูฟัง จนท้ายที่สุดก็ต้องย้ายออกมา เพราะเสียงบางอย่างสวมหูฟังแล้วก็ยังป้องกันไม่ได้ เว้นแต่จะเปิดเพลงช่วยกลบเสียงเหล่านั้นด้วย แต่ครั้นจะเปิดเพลงระหว่างทำทุกอย่างก็ไม่ไหว เพราะหลายสิ่งหลายอย่างก็เหมาะที่จะทำกับความเงียบมากกว่า

เมื่อย้ายออกมาจากที่นั่น มาอยู่ยังสถานที่ที่ต่างจากเดิม สภาพแวดล้อมต่างจากเดิม เสียงรบกวนที่เจอก็ไม่เหมือนเดิม เคยมีตอนที่ 7-Eleven จัดโปรโมชัน เปิดเพลงเปิดเครื่องขยายเสียงตั้งแต่บ่ายจนถึงค่ำอยู่หลายครั้ง แต่ว่าตอนนี้ก็ไม่ได้ยินมาเป็นปีแล้ว เพื่อนบ้านที่เปิดเพลงสังสรรค์ก็มีมาบ้างแต่ไม่ได้บ่อยจนประสาทเสีย และค่อนข้างที่จะเป็นเวลา สามารถที่จะเลือกทำสิ่งที่ต้องอาศัยความเงียบนอกเวลาที่คาดว่าจะเกิดเสียงรบกวน สรุปก็คือที่นี่เป็นที่ที่ค่อนข้างเงียบสงบ เราไม่จำเป็นต้องอุดหูตัวเองตลอดเวลาเหมือนอย่างเคย

พอคิดเรื่องนี้แล้วก็เกิดคิดขึ้นมาว่า ยังมีอะไรอีกบ้างนะที่เราเลือกปิดหู ปิดตา เพื่อที่จะไม่ได้เห็น เพื่อที่จะไม่ได้ยิน แต่ว่าบางทีเราอาจจะไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นอีกแล้ว

บางทีคนที่เราเคยเดินหนีอาจจะไม่ได้มาพร้อมกับคำพูดที่กลั่นกรองออกมาเพื่อทำร้ายความรู้สึกของคนรอบข้างเหมือนอย่างเคย บางทีคนคนเดิมอาจจะมาพร้อมกับถ้อยคำแสดงความรักและหวังดี แน่นอนว่ายากที่จะเป็นแบบนั้น ยากที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงจากเดิม แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงจากร้ายเป็นดี จากความเกลียดชังเป็นความรัก จากการวิ่งหนีเป็นเดินเข้าหา ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่สิ่งที่ฝืนกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ การไม่เปลี่ยนแปลงต่างหากคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

ว่าด้วยการผูกมิตรกับหมา

ปุยเป็นหมาบางแก้วที่เราไม่ค่อยชอบหน้ามันเท่าไหร่ ด้วยเหตุผลหลักสองประการ ประการแรกคือที่บ้านตั้งชื่อมันซ้ำกับปุกปุยซึ่งเป็นหมาเชาเชาที่เรารักมากและจากโลกนี้ไปแล้ว ประการที่สองคือตอนที่มันย้ายสำมะโนครัวเข้ามา เราอยู่กรุงเทพเป็นหลัก ก็เลยไม่ค่อยผูกพันกันเท่าไหร่ ช่วงที่เราย้ายกลับไปอยู่บ้าน ความสัมพันธ์ของเราเหมือนจะดีขึ้นมาหน่อย เพราะปุยมีท่าวิ่งเหยาะแบบที่หมาน่ารักมักจะทำกัน และยังชอบมานอนแหมะใกล้ๆ เราตอนเรายกคอมไปนั่งเขียนหนังสือข้างนอก อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ของเราก็มีอันต้องจบลงเมื่อเราพบว่าที่มันมานอนแหมะเพราะมันจะหาโอกาสเข้าบ้านมาพร้อมกับเราเพื่อไปหาพ่อเราเท่านั้นเอง วิ่งแทรกตัวเข้ามาทั้งๆ ที่ประตูยังเปิดไม่สุด ราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการแก่งแย่งขึ้นบีทีเอส เราปฏิเสธที่จะหลงกลมารยาหมาตัวนี้อีกต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว และตั้งใจว่าจะไม่ให้ขาทั้งสองข้างของเราตกเป็นทาสสวาทของมันอีก

เมื่อต้นปีเรากลับไปบ้าน ไปอยู่ใกล้ๆ พ่อที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ปุยจำเราไม่ได้ ก็เลยแยกเขี้ยวใส่ ส่งเสียงคำรามเพื่อบอกให้รู้ว่าสุนัขพันธ์ุบางแก้วนั้นสืบสายเลือดมาจากสุนัขป่า หรืออันที่จริงมันก็จำเราได้น่ะแหละ แต่ว่าสถานะของเราสองตัวเปลี่ยนไปแล้ว แม่บอกให้เราเอาขนมหมาในบ้านไปโยนให้มันกิน เราเอาไปโยนให้ เดินตากแดดออกไปโยนให้ ปุยยังคงมีท่าทีเช่นเดิมและปล่อยขนมทิ้งไว้ให้มดค่อยๆ มาขนกลับไปจัดปาร์ตี้ที่บ้าน เรามองหน้ามัน และเดินกลับเข้าบ้าน ไม่คิดจะถือสาหาความ ไม่ได้โกรธเคืองอะไรกับสัตว์ที่ได้แต่อาศัยบ้านเค้าอยู่แล้วยังไม่รู้สึกสำนึกบุญคุณมีคนเอาอาหารให้กินแล้วก็ยังไม่แดกไม่รู้จักเสียดายอาหารที่แม่เราทำงานอย่างยากลำบากหาเงินซื้อมาถ้าไม่มีกินเมื่อไหร่แล้วอย่ามานึกเสียใจทีหลังก็แล้วกัน

ประมาณหนึ่งอาทิตย์ต่อจากนั้นโยก็มาเยี่ยมพ่อด้วย ถ้าไม่นับผ้าห่มที่เราซักปีละครั้ง โยน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีกลิ่นของเราติดอยู่เยอะที่สุด ปุยจึงทักทายโยด้วยการแยกเขี้ยวใส่ ส่งเสียงคำรามเพื่อบอกให้รู้ว่าสุนัขพันธ์ุบางแก้วนั้นสืบสายเลือดมาจากสุนัขป่า โยที่ซึบซับความจิตใจดีไปจากเราไม่ถือโทษโกรธปุยเหมือนกัน แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือโยเชื่อว่าที่ปุยไม่กินขนมหมาเพราะมันไม่ได้อร่อยขนาดนั้น โยจำได้ว่าครั้งก่อนที่มาบ้าน ปุยก็ยังกินขนมหมาที่ซื้อมาให้อยู่เลย เพราะแบบนั้นวันถัดมาโยเลยกลับมาพร้อมกับ JerHigh ขนมที่โยทำการศึกษามาแล้วว่าหมาๆ ชอบ

การเอาอาหารไปให้ปุยของโยก็ดำเนินรอยตามเรา นั่นคือนอกจากจะต้องเดินฝ่าแดดออกไป ยังต้องมาเจอหมาที่ตัวเองกำลังจะเอาขนมไปให้ขู่กรรโชกอีก โยยื่นขนมหมารูปทรงเบคอนไปด้านหน้าปุย ปุยหยุดแยกเขี้ยวทันที เลียปากตัวเองอย่างหิวกระหาย แต่เมื่อเห็นใบหน้าของคนที่กำลังยื่นขนมให้ก็กลับมาแยกเขี้ยวอีกครั้ง แล้วก็เผลอเลียปากตัวเองอีก พอรู้ตัวก็กลับไปแยกเขี้ยวอีก โยที่จริงๆ แล้วก็ยังกล้าๆ กลัวๆ ตัดสินใจวางขนมสอดใต้ประตูรั้วแล้วเดินถอยออกมา เพื่อให้ปุยตัดสินใจได้ดีขึ้น แทนที่จะต้องมาคอยแยกเขี้ยวสลับกับการเป็นหมาอยากหม่ำแบบนี้ เราแน่ใจว่าขนมของโยจะต้องอยู่เป็นเพื่อนขนมของเราที่โยนเอาไว้เมื่อวันก่อน กลายเป็นของประดับบ้านหมา เป็นหลักฐานแสดงถึงศักดิ์ศรีที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด แต่แล้วปุยก็คาบขนมเบคอนหนีไปทันทีที่โยหันมาคุยกับเรา

ปุยเอาขนมเบคอนไปวางไว้ที่สนามหญ้าใกล้ๆ แล้วหันกลับมามองว่ามีใครแอบมองอยู่หรือเปล่า ซึ่งแน่นอนว่ามี ปุยรอสักพัก เมื่อแน่ใจแล้วว่าการแอบมองจะไม่สิ้นสุดลงแน่ๆ ปุยจึงก้มหน้าเขมือบขนมตรงหน้าด้วยความเอร็ดอร่อย หันหลังให้ เพื่อไม่ให้ดูเสียฟอร์มจนเกินไป หลังจากหม่ำๆ ขนมจนหมด ปุยวิ่งกลับมาที่เดิม โยยื่นขนมชิ้นใหม่ให้ ปุยคาบหนีไปที่สนามหญ้า หันหลังกินขนม วิ่งกลับมาคาบขนมชิ้นใหม่ ทำแบบนี้จนกระทั่งขนมหมดถุง การพยายามผูกมิตรกับปุยของพวกเราในวันนี้จบลงแต่เพียงเท่านี้ เราต่างแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเอง เพียงเพื่อที่จะพบว่าเช้าวันถัดมานั้นปุยยังคงแยกเขี้ยวและคำรามใส่เหมือนคนไม่รู้จักกัน มิตรภาพระหว่างคนกับหมาไม่มีอยู่จริง

คนที่มาบ้านเราน่าจะคิดแบบเดียวกันว่า นอกจากพ่อ แม่ และน้องชายเรา คนที่เหลือล้วนแล้วแต่เป็นศัตรูของปุย เป็นธรรมชาติของบางแก้วที่จะเชื่องเฉพาะกับเจ้าของเท่านั้น แม้แต่น้องสาวเราที่อยู่บ้านเดียวกับปุยเป็นเวลาหลายปีก็ยังต้องคอยดูว่าปุยถูกปล่อยออกมาข้างนอกหรือว่าโดนขังไว้อยู่ แต่แม้จะโดนแยกเขี้ยวใส่โยก็ยังเอาขนมไปให้มันทุกวัน แต่ละครั้งปุยดูจะลดความไม่เป็นมิตรลงเรื่อยๆ เริ่มจากไม่เสียเวลาหันหลังเพื่อกินแบบแอบๆ พัฒนาไปเป็นการกินมันตรงนั้นไม่เสียเวลาวิ่งไปไกลๆ จนในที่สุดก็ใช้การสั่นหางดีใจเมื่อเจอหน้าโยแทนที่จะแยกเขี้ยว ขนมอร่อยๆ หมดไปแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเท่าไหร่ เพราะโยเปลี่ยนกิจกรรมจากการออกไปให้อาหารปุยเป็นการออกไปเล่นกับปุยแทน

ตลอดหลายวันที่โยมาอยู่บ้าน เราได้เห็นปุยทำพฤติกรรมที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน วิ่งด้วยความเร็วสูงจนขาหลังสไลด์ไปกับพื้น นอนยิ้มตาเยิ้มเหมือนหมาในการ์ตูนตอนที่โดนลูบหน้าอก ซอยขายิกๆ อย่างดี๊ด๊าเวลาจะได้ออกไปเดินเล่น ไปจนถึงการทำสีหน้าที่เหมือนจะบอกว่าอย่ามายุ่งกับเค้าตอนนี้เลย เราไม่รู้ว่าถ้าไม่มีขนมอร่อยๆ โยจะสนิทกับปุยได้ขนาดนี้ไหม แต่เราคิดว่าขนมอร่อยๆ เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอแน่ๆ จากนี้ปุยจะยังคงถูกขังไว้ในพื้นที่ของมันต่อไปเมื่อมีแขกมาบ้าน เพื่อปกป้องคนอื่นๆ จากการทำหน้าที่หมาเฝ้าบ้านที่ดีเกินไปของมัน คงไม่มีใครกล้าให้คนที่มาบ้านถือขนมไว้เพื่อป้องกันตัวเอง

ถ้าให้เราวิเคราะห์ในฐานะผู้มีประสบการณ์ในการโดนหมาที่บ้านตัวเองขู่เข็ญมาก่อน เราคิดว่าสิ่งที่โยทำกับปุยอาจเป็นเพียงแค่การทำให้มันมีความสุขขึ้น เคล็ดลับของการเป็นที่รักของคนหรือหมาอาจเป็นเรื่องง่ายๆ อย่าง “อยู่ด้วยแล้วมีความสุข” เรื่องขั้นตอนและวิธีการเราไม่แน่ใจเท่าไหร่ อาจแตกต่างกันไปสำหรับหมาแต่ละตัว ช่วงเวลาที่โยมาอยู่บ้านเราสำหรับปุยแล้วไม่ใช่เพียงเวลาของขนมอร่อยเท่านั้น แต่ยังหมายถึงเวลาของการแปรงขน ของการเติมน้ำในโอ่งที่ปุยชอบลงไปแช่ ของการพาไปเดินเล่นทุกเย็น ของการถูกเรียกชื่อด้วยความห่วงใย ของความผิดปกติที่มันน่าจะยินดีให้เกิดขึ้น

ลาก่อน LAMY Safari

ปากกา LAMY Safari ด้ามนี้อยู่กับเรามาได้ปีครึ่งแล้ว แต่เป็นการอยู่ด้วยกันแบบที่ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันเท่าไหร่ ตั้งใจว่าจะทำให้การนั่งลงเขียนหนังสือเป็นอะไรที่มีความศักดิ์สิทธิ์ มีความเป็นพิธีกรรมบางอย่าง แต่กลายเป็นว่าการที่ต้องมาคอยเปลี่ยนหมึกปากกา และการที่เขียนเร็วเกินไปไม่ได้เพราะมือจะไปปาดหมึกแล้วทำให้เลอะ ทำให้สุดท้ายเราเขียนหนังสือน้อยลงกว่าที่เคย

เร็วๆ นี้เราสร้างวินัยให้ตัวเองและหยิบ LAMY มาเขียนต่อได้สำเร็จ แต่ก็เป็นการเขียนที่ทุลักทุเลพอสมควร ต้องคอยสั่งหมึกใหม่ทุกๆ สองอาทิตย์ ชงกาแฟเสร็จแล้วก็เขียนเลยไม่ได้ ต้องรอให้มือที่เพิ่งล้างมาแห้งก่อน ไม่งั้นถ้าน้ำจากมือไปโดนหมึกที่เขียนเอาไว้ก็จะกลายเป็นรอยหมึกเลอะเทอะไปหมด แต่เราก็ทำใจยอมรับสภาพนี้ คิดว่าจะลองเปลี่ยนกระดาษหรือเปลี่ยนเป็นหมึกกันน้ำหรือหมึกที่แห้งเร็วกว่านี้ดู

จนกระทั่งเรากลับไปอ่านงานเก่าที่เราเขียนไว้

เราจำไม่ได้ว่าทำไมเราถึงไปเปิดงานเก่าที่เราเขียนไว้ หยุดเขียนไป และตั้งใจจะเริ่มใหม่พร้อมกับปากกาที่ซื้อมาด้ามนี้ แต่สิ่งที่เราพบคือเราชอบงานเขียนในตอนนั้นมากกว่าตอนนี้มาก และต้องยอมรับกับตัวเองว่าตัวเราในตอนนี้ไม่สามารถที่จะเขียนงานแบบตอนนั้นได้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเราเปลี่ยนไป กลายเป็นคนที่โกรธโลกใบนี้มากกว่าเดิม อีกส่วนหนึ่งเราคิดว่าอาจเป็นเพราะการใช้ปากกา LAMY นี่แหละ

เราเคยสังเกตว่างานเขียนของตัวเองที่เราชอบมักจะเกิดจากการที่ความคิดในหัวเราลงสู่กระดาษเลย ไม่ได้กลั่นกรองอะไรมากมาย เหมือนกับหน้ากระดาษและตัวหนังสือเป็นเครื่องมือถ่ายทอดความคิดเท่านั้น การเขียนแบบนี้เหมาะกับการเขียนด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำได้เร็วกว่าการใช้มือเขียน

การเปลี่ยนมาใช้ปากกาหมึกซึมทำให้เราเขียนได้ช้าลง ด้วยข้อจำกัดเรื่องหมึกอย่างที่บอกไป และต่อให้เปลี่ยนไปใช้ปากกาลูกลื่นก็ยังเร็วสู้การพิมพ์กับคีย์บอร์ดไม่ได้อยู่ดี นอกจากนี้การเขียนเร็วๆ ก็ทำให้ลายมือไม่สวย ทำให้ไม่อยากกลับมาอ่านซ้ำ พอเป็นแบบนั้นก็เลยไม่อยากเขียนเร็วตั้งแต่แรก

เป็นไปได้ว่าการเปลี่ยนรูปแบบการเขียนทำให้รูปแบบการคิดของเราเปลี่ยนไปด้วย เราปรับความคิดให้ช้าลงตามการเขียนของเราโดยไม่รู้ตัว

ตอนนี้ก็เลยกลับมาเขียนด้วยคอมพิวเตอร์แล้วล่ะ แล้วก็บอกลาปากกาหมึกซึมแล้ว แม้จะเคยคิดว่าการได้ใช้หมึกชื่อเก๋ๆ นี่น่าจะทำให้รู้สึกดีมากๆ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าไม่เหมาะกับชีวิตตัวเองเท่าไหร่

ว่าแต่จะมีอะไรในชีวิตอีกบ้างนะ ที่สิ่งที่จินตนาการเอาไว้กับความเป็นจริงมันไม่เหมือนกัน แต่เรายังเลือกอยู่กับความเข้ากันไม่ได้นั้นโดยไม่รู้ตัว

อะไรหลายๆ อย่างก็คงมีเวลาหมดอายุของมัน ไม่ใช่แค่กับอาหาร บางทีเราอาจไม่ได้เกลียดใครที่เราเคยเกลียดอีกต่อไปแล้ว บางทีเราอาจไม่ได้ตื่นเต้นกับที่ที่เราเคยอยากไปอีกต่อไปแล้ว บางทีเราอาจไม่ได้รู้สึกกังวลอีกแล้วว่าใครจะมองเรายังไงถ้าเราอยากแสดงความรักต่อคนที่เรารักเวลาอยู่ข้างนอก

แล้วทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่เป็นเหมือนพ่อแม่คนอื่นบ้าง?

IMG_5577

เดือนที่แล้วกลับไปใช้เวลาอยู่ที่บ้านมาหนึ่งอาทิตย์ หลายอย่างทำให้เรามีความสุขอย่างคาดไม่ถึง นั่งมองนกค่อยๆ คาบใบหญ้าสีเขียวทีละเส้น บินกลับไปกลับมาเพื่อสร้างรังใหม่ และคอยลุ้นว่ามันจะโดนกิ้งก่าที่พรางตัวอยู่ไม่ไกลเขมือบมั๊ย ยืนมองงูเลื้อยผ่านเก้าอี้ที่เพิ่งนั่งอ่านหนังสือไป และไม่ได้ตกใจรีบวิ่งไปบอกให้ใครมาจัดการมันเหมือนตอนเด็กๆ งูเลื้อยเข้าใต้ตู้ เข้าไปในห้องน้ำ ปีนขึ้นหลังคา เหมือนจะมาบอกว่าถ้าจะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยต้นไม้ต้องคอยระวังที่ไหนบ้าง เด็ดลูกหว้ามากินและนึกถึงผู้คนในอดีตที่พยายามชวนให้เรากินผลไม้สีม่วงรสหวานปนฝาด หลายคนจากไปแล้ว จากไปก่อนที่เราจะทันได้ห่างเหินกัน หรือทำร้ายกัน ทุกครั้งที่นึกถึงเลยมีแต่ภาพของความสุข แต่ชีวิตไม่ได้ง่ายแบบนั้น เวลาที่กลับไปอยู่หนึ่งอาทิตย์ ไม่มีวันไหนที่พ่อแม่ไม่ขึ้นเสียงใส่กันเลย เรารู้เหมือนที่รู้ว่าถ้าโยนลูกบอลลงพื้นมันน่าจะกลิ้งไปทางไหน เรารู้ว่าถ้าพ่อหรือแม่พูดแบบนี้มันจะนำไปสู่การทะเลาะกัน เรารู้ดีจนไม่ต้องรอให้เกิดการทะเลาะกัน เพียงแค่สักคนพูดประโยคแรกจบ เราก็กลับไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่อยากหนีออกจากที่นั่นให้เร็วที่สุด

ตอนเด็กๆ เวลาต้องเขียนความสามารถพิเศษ เรามักจะสับสนไม่รู้จะเขียนอะไร ตอนนี้มองย้อนกลับไปมีสิ่งหนึ่งที่เราทำได้ดีมาก นั่นคือการทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น วินาทีหนึ่งเราอยู่บนรถ ผ้าเช็ดหน้าชื้นไปด้วยน้ำตา วินาทีถัดมาเราจะเดินไปเข้าแถวข้ามถนน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เราจะบอกใครได้ยังไงว่าปัญหาของเราคืออะไร ในเมื่อเรารู้สึกว่าผู้ที่ควรจะปกป้องเรา ให้คำปรึกษาเรา ไม่เคยอยู่ฝั่งเดียวกับเรา และเพื่อนที่เราสนิทที่สุดก็มีครอบครัวที่อบอุ่นเหลือเกิน เราไม่เคยรู้ว่าการกอดกันในครอบครัวเป็นเรื่องปกติจนได้รู้จักกับเพื่อนคนนี้

ถ้ามีคนที่ทำร้ายเรา เพื่อนแกล้งเรา เราอาจลุกขึ้นสู้กับเพื่อน ฟ้องครู วิ่งไปหาพ่อแม่ แจ้งตำรวจ แต่ถ้าเรารู้สึกว่าสิ่งที่ทำร้ายเราคือครอบครัว เราจะลุกขึ้นสู้กับใคร ฟ้องใคร วิ่งไปหาใคร?

ตอนเด็กๆ ประโยคนึงที่ทำร้ายจิตใจเรามากคือ “ทำไมไม่เป็นเหมือนลูกคนอื่นเค้าบ้าง” และทุกๆ ครั้งเราอยากตอบกลับไปมากจริงๆ ว่า “แล้วทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่เป็นเหมือนพ่อแม่คนอื่นบ้าง”

ปัญหาอย่างนึงของสังคมไทยคือเราชอบยกอะไรไว้ในที่สูง ซึ่งไม่สามารถแตะต้อง ไม่สามารถวิจารณ์ได้ และเราก็สร้างประเพณี สร้างวันสำคัญ สร้างพิธีกรรมต่างๆ ขึ้นมา เพื่อยกย่องอะไรแบบนี้ยิ่งขึ้นอีก และยิ่งตอกย้ำว่าถ้าใครสักคนที่เป็นปัญหา มันคือเรา

นักเขียนชื่อ Neil Strauss เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มนึงชื่อ The Truth: An Uncomfortable Book About Relationships เล่าเรื่องราวของการเดินทางแก้ปัญหาความสัมพันธ์ของตัวเอง เข้าสู่สถานบำบัด ปรึกษาจิตแพทย์ ทดลองความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ทำทุกวิธีที่จะค้นหาวิธีแก้ปัญหาของตัวเอง ซึ่งทำให้ต้องกลับไปขุดคุ้ยอดีตตัวเอง และพบว่าปัญหาส่วนใหญ่ในชีวิต ไม่ใช่เฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ มาจากวิธีที่เราถูกเลี้ยงมา มาจากพ่อแม่ของเรา

ในโลกที่สมบูรณ์ พ่อและแม่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ และเลี้ยงดูเราอย่างดี เติบโตมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ แต่โลกไม่ได้เป็นแบบนั้น ไม่ว่าสังคมจะพยายามยัดเยียดความคิดให้เราว่าพ่อแม่เป็นผู้มีพระคุณ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังไง ความจริงก็คือพ่อแม่เป็นมนุษย์ พ่อแม่เลี้ยงดูเราอย่างดีที่สุด ทำดีที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ และทิ้งบาดแผลไว้ให้เรา ความไม่รักตัวเอง เอาแต่ใจ คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ คิดว่าคนอื่นไม่ดีพอ ฯลฯ เสียงในหัวที่บอกนู่นบอกนี่กับเรา ที่เราคิดว่าเราบอกตัวเอง จริงๆ แล้วอาจไม่ใช่เสียงเรา

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าเราควรจะโทษพ่อแม่เรา ต่อสิ่งแย่ๆ ในตัวเรา แต่อยู่ที่การยอมรับความจริงให้ได้ว่าทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีในตัวเรา เป็นผลโดยตรงจากวิธีที่เราถูกเลี้ยงดูมา และถ้าเราอยากเติบโตขึ้น อยากมีชีวิตของตัวเอง แทนที่จะใช้ชีวิตตามความต้องการของคนอื่น เราต้องออกจากที่นั่น ปล่อยพ่อแม่เอาไว้อย่างนั้น เค้าทำดีที่สุดแล้ว ถ้ายังโทษคนอื่นต่อไปก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปฏิบัติต่อตัวเอง ให้คำแนะนำตัวเอง ดูแลตัวเอง เหมือนกับที่เราอยากให้พ่อแม่ปฏิบัติกับเรา รับผิดชอบชีวิตตัวเอง รับผิดชอบความสุขของตัวเอง แทนที่จะฝากมันไว้ในมือคนอื่น

ชื่อของคนคนนึงโผล่เข้ามาในไดอารี่ของเราเมื่อสามปีที่แล้ว ปรากฏขึ้นมาครั้งเดียวและหายไป สามปีต่อมาชื่อนี้ปรากฏบ่อยขึ้น ด้วยความรู้สึกที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง เราถามตัวเองว่ามันเป็นแค่ผลข้างเคียงของการตกหลุมรักที่ทำให้เรามองข้ามข้อเสียของใครบางคนไป หรือเราเติบโตขึ้นจนเรียนรู้ที่จะรักใครแบบที่เค้าเป็นได้จริงๆ ยอมรับว่าดอกไม้บางชนิดมาพร้อมกับหนาม แทนที่จะทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เจ็บ แต่ยอมรับจริงๆ ว่านี่คือสิ่งที่มาพร้อมกัน และพร้อมที่จะอยู่กับสิ่งนี้ไปตลอดชีวิต

ถ้าข้อสันนิษฐานของเราถูก การยอมรับพ่อแม่ในแบบที่เค้าเป็นควรจะให้ผลแบบเดียวกัน ถ้าไม่เรียกร้อง และรับผิดชอบต่อความสุขตัวเอง ตอนนั้นต่อให้พ่อแม่ทะเลาะกันไปอีกร้อยปี เราก็ยังคงจะรักพ่อแม่ไปได้อีกร้อยปี โดยที่ไม่ต้องพยายามให้พ่อแม่เป็นเหมือนพ่อแม่คนอื่น

ขอต้อนรับทุกท่านสู่ความแรนด้อม (และการมองตัวเองผ่านกล้องวงจรปิด)

IMG_3520
รูปจากทางไปห้องน้ำร้าน Happy Bar ถนนข้าวสาร

จริงๆ โพสต์แรกของบล็อกนี้ควรจะเป็น Random Wisdoms รายการพ็อดคาสท์แนวสัมภาษณ์คน ซึ่งเป็นข้ออ้างให้ตัวเองในการออกไปคุยกับคนในเรื่องที่เราสนใจ และทำอีกสิ่งนึงที่จุดประกายเราในบ่ายวันหนึ่งขณะอ่านนิตยสาร Way แต่เพราะความไม่พร้อมหลายอย่างเลยต้องเลื่อนไปก่อน

เรื่องที่อ่านเจอวันนั้นเป็นเรื่องปัญหาของรัฐบาลตอนนั้น (น่าจะเป็นของจอมพลป.) ว่าจะทำยังไงไม่ให้คนจีนแย่งเงินคนไทยไปหมด เพราะคนจีนค้าขายเก่งเหลือเกิน และก็ขยันมากๆ ด้วย ซึ่งคำตอบของรัฐบาลในตอนนั้นคือการยอมรับความจริงข้อนี้และแก้ปัญหาด้วยการทำให้คนจีนเป็นคนไทยซะ ส่งเสริมให้คนจีนแต่งงานกับคนไทย มีลูกหลานเป็นคนไทย และสุดท้ายกลายเป็นคนไทยในที่สุด นี่เป็นวิธีคิดที่ทำให้เราปิดนิตยสารและทบทวนความคิดตัวเอง ว่าเราไม่มีทางคิดได้แบบนี้เลย ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเค้าเก่งจัง ซึ่งที่ผ่านมาเรารู้สึกแบบนี้กับคนไทยไม่มากนัก พอนึกถึงคนเก่งๆ ภาพคนจากโลกตะวันตกก็เข้ามาในหัวมากกว่า พอนึกถึงคนสำคัญๆ ในไทยก็นึกถึงคาบเรียนน่าเบื่อที่ถูกบังคับให้เรียนผลงานของคนนั้น คนนี้ โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่าดียังไง คือถูกบังคับให้เรียนกลอนสุนทรภู่ แต่ไม่เคยได้คิดว่าจะเขียนกลอนให้ได้แบบสุนทรภู่หรือดีกว่าได้ยังไง เราเกิดความคิดว่าอยากมีที่ที่รวบรวมความรู้จากคนของเรา บรรพบุรุษของเรา

แต่ว่าสิ่งนั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้น ปัญหาของเราคือเราเป็นคนชอบและสนใจอะไรหลายอย่าง เราไม่สามารถอยู่กับอะไรได้นานขนาดนั้น ความคิดที่ว่าจะต้องทำสิ่งเดียวไปทั้งชีวิตทำให้เรารู้สึกอึดอัด เราสนุกกับหลายๆ สิ่ง แล้วก็ขยับไปทำสิ่งต่อไป

หนึ่งในสิ่งที่สนุกก็คือการจดโดเมนเว็บไซต์เป็นชื่อตัวเอง ซึ่งก็จดค้างเอาไว้แบบนั้น ไม่ได้เอาไปทำอะไรจริงๆ เวลามีเรื่องอะไรอยากเขียนก็เขียนลง Facebook หมด มีคนเห็นมากกว่า ง่ายกว่า

แต่เพราะรายการ Random Wisdoms ที่ตั้งใจจะทำอย่างจริงจังในปีนี้ ทำให้ต้องมีพื้นที่สำหรับเขียนที่คนจะย้อนกลับมาดูได้โดยสะดวก ก็เลยบังคับให้ต้องกลับมาทำเว็บ พอคิดว่าเว็บจะเกี่ยวกับอะไร แล้วความรู้สึกอึดอัดก็กลับมาอีก

อาจเป็นเพราะคนที่พบในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาที่ทำให้เราพบว่าเราเจอคนแบบนี้ คนที่เราชอบมากๆ เพราะเราเป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้พยายามเป็นคนในแบบที่เราควรเป็น ในเมื่อความเป็นตัวเองพาเรามาสู่จุดนี้ เราก็ไม่น่าจะต้องพยายามเป็นอะไรให้เหนื่อย

ชื่อ pawitsommai.com ที่จดเอาไว้เฉยๆ เลยถูกเอามาใช้ และต่อจากนี้ในบล็อกก็จะเต็มไปด้วยเรื่องที่เราสนใจ ตั้งแต่การชงกาแฟ ทำอาหาร การวาดรูป ท่านั่งส้วมที่ถูกวิธี การพ่นควันบุหรี่เป็นวงกลม นั่งสมาธิ การใช้ชีวิตอย่างป่าเถื่อน ตกหลุมรัก การนอน ความขี้เกียจ ความขยัน หมา และอื่นๆ อีกมากตามแต่ชีวิตจะพาไป

ถ้าจะจัดหมวดหมู่บล็อกนี้ได้อยู่บ้างก็คงเป็น non-fiction คือปกติเราเขียนทั้งเรื่องแต่งและเรื่องจริง ซึ่งเป็นปกติของพวกชอบเพ้อฝันที่ใช้ชีวิตครึ่งนึงอยู่ในจินตนาการ แต่บล็อกนี้จะเขียนแต่เรื่องจริง และตั้งใจให้ทุกสิ่งที่เขียนสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร หรือแรนด้อมแค่ไหนก็ตาม เรื่องเพ้อฝันก็คงจะเขียนต่อไป ในไดอารี่ บน Facebook ผนังห้องน้ำ ที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่ใช่ที่นี่

และถ้าจะจบโพสต์แรกโดยที่ไม่ทิ้งอะไรให้เอาไว้ใช้ได้เลยก็คงเป็นการทำลายสิ่งที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่โพสต์แรก และเราจะไม่ทำแบบนั้น

เรื่องนี้เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามีปัญหามาตลอด เพราะความไม่รักตัวเอง เพราะอะไรหลายอย่างที่ทำให้เราเรียกร้องความรักเอาจากคนอื่น สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาและเป็นตัวทำลายความสัมพันธ์คือเราเอาความคิดไปปนกับความรู้สึก กับความจริง

เราอาจนัดใครบางคนไว้ แล้วโดนยกเลิกนัด เราโกรธ เพราะเรารู้สึกว่าเค้าไม่ให้ความสำคัญ แต่เค้าไม่ให้ความสำคัญไม่ใช่ความรู้สึก เป็นความคิด เป็นสิ่งที่เราเชื่อ และมันอาจจะไม่จริงก็ได้ ความคิดทำให้เรารู้สึกโกรธ ถ้าเรารู้ว่าเค้ายกเลิกนัดเพราะใครบางคนที่บ้านป่วยหนักและต้องอยู่ดูแล เราก็คงไม่โกรธ จริงมั๊ย?

วิธีที่ดีในการแยกความคิดออกจากความจริงก็คือให้บรรยายสถานการณ์เหมือนกับเราดูจากกล้องวงจรปิด กล้องวงจรปิดจะไม่บอกว่าคนๆ นั้นโกรธเพราะใครบางคนไม่ให้ความสำคัญ กล้องวงจรปิดบอกได้แค่ว่าใครคนนั้นกำลังโกรธ บอกได้แค่ความจริง ถ้าเราเริ่มมองสิ่งที่เกิดขึ้นได้แบบเป็นกลางจริงๆ จากนั้นเราค่อยมาจัดการกับความรู้สึกตัวเองว่าเราเป็นแบบนั้นเพราะอะไร จะเป็นวิธีจัดการกับความรู้สึกที่ดีกว่า เพราะบางทีเราอาจทำร้ายตัวเองและความสัมพันธ์ด้วยเรื่องที่ไม่เคยมีอยู่จริงเลย