สงครามห่วงยาง กีฬาลึกลับแห่งวันเวลาที่เด็กผู้ชายยังเล่นโดดยาง

ผมคิดมาตลอดว่าผมเกลียดกีฬาทุกชนิด แต่ความทรงจำในวัยเด็กที่จู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัวบอกผมว่านั่นไม่เป็นความจริง จริง ๆ แล้วมีกีฬาที่ผมไม่ใช่แค่ไม่เกลียด แต่ยังชอบมาก ชอบจนมีอุปกรณ์กีฬาเป็นของตัวเอง ชอบจนครั้งหนึ่งต้องสอนกติกาของกีฬานี้ให้กับเพื่อนในหมู่บ้านที่เรียนกันคนละโรงเรียนและไม่เคยเล่นมาก่อน กีฬาที่ว่ามีชื่อว่า ‘ปาห่วงยาง’ (หรือไม่ก็ ‘โยนห่วงยาง’ ผมไม่แน่ใจ)

ก่อนจะไปถึงเหตุผลว่าทำไมผมถึงชอบการเล่นกีฬาชนิดนี้ ผมขอเล่ากติกาและอุปกรณ์ที่ใช้ให้ฟังก่อน

อุปกรณ์: ห่วงยางอันเล็ก ๆ แบบที่เอาไว้ใช้เล่นเกมโยนห่วง
สถานที่: ที่โล่ง ถ้าที่พื้นมีเส้นแบ่งเขตที่ทำให้กำหนดพื้นที่ได้ก็จะดีมาก
กติกา:
1. กีฬาชนิดนี้เล่นเป็นทีม แบ่งเป็นสองทีม ไม่จำกัดจำนวนผู้เล่น ขอแค่แต่ละฝั่งมีจำนวนผู้เล่นเท่ากันก็พอ
2. กำหนดว่าฝั่งไหนจะเป็นฝั่งหนีหรือเป็นฝั่งปาห่วง ซึ่งฝั่งหนีเป็นฝั่งที่ได้รับความนิยมมากกว่า
3. ฝั่งหนีจะคอยวิ่งอยู่ตรงกลาง ไหนขณะที่ฝั่งปาห่วงจะยืนขนาบทั้งสองข้าง
4. ถ้าฝั่งหนีโดนปาห่วงใส่ ไม่ว่าที่ส่วนใดของร่างกาย คนที่โดนต้องออกจากสนาม หากผู้เล่นฝั่งหนีโดนออกจากสนามหมดก็ถือว่าจบเกม ฝั่งปาห่วงได้สลับมาเล่นเป็นฝั่งหนี
5. พื้นที่ตรงกลางที่ใช้วิ่งหนีจะหดแคบลงเรื่อย ๆ ตามจำนวนผู้เล่นฝั่งหนีที่เหลือในสนาม แล้วแต่ตกลงกันว่าจะขยับตอนไหน (การมีพื้นที่มีเส้นแบ่ง หรือมีกระเบื้องที่ทำให้กำหนดความกว้างของพื้นที่ได้อย่างแม่นยำจึงมีประโยชน์มาก)
6. ถ้าฝั่งหนีสามารถรับห่วงที่ปาใส่ตัวเองได้ จะสามารถตะโกนว่า “หยุด” หลังเสียงตะโกนฝั่งปาห่วงจะต้องหยุดอยู่กับที่ จากนั้นคนที่รับห่วงได้จะสามารถเลือกช่วยเพื่อนที่ออกจากสนามไปแล้วได้ โดยเลือกเพื่อนที่จะช่วย จากนั้นเลือกฝั่งปาห่วงที่จะปาห่วงใส่ ถ้าปาห่วงใส่แล้วคนนั้นรับไม่ได้ก็จะสามารถช่วยเพื่อนกลับเข้ามาในสนามได้สำเร็จ (เนื่องจากสนามจะหดแคบลงตามจำนวนฝั่งหนี การช่วยเพื่อนแบบนี้มักจะเกิดขึ้นในเวลาที่ผู้เล่นเหลือน้อยแล้ว เพราะหากสนามกว้าง การจะปาห่วงใส่ฝั่งปาห่วงที่อยู่ไกลออกไปจะเป็นเรื่องยาก)

ด้วยอุปกรณ์ที่มีไม่มาก ไม่จำเป็นต้องใช้สนามเฉพาะ และจำนวนผู้เล่นที่ยืดหยุ่น ทำให้กีฬาชนิดนี้สามารถเล่นได้ทุกที่ ทุกเวลา และยังแตกแขนงไปในรูปแบบอื่นที่กติกาคล้ายกัน อย่างการใช้ลูกปิงปอง (ต้องใช้ทักษะมากกว่า และยิ่งปาแรงยิ่งเจ็บ ในขณะที่ห่วงยางไม่เจ็บขนาดนั้น) หรือการใช้รองเท้า (เปลี่ยนมานั่งเล่นกับพื้นอาคาร แล้วใช้การสไลด์รองเท้าไปตามพื้นแทน ไม่มีกติกาช่วยเพื่อน) ผมไม่แน่ใจว่าการใช้รองเท้า ลูกปิงปอง หรือห่วงยาง อะไรเกิดก่อน อะไรไปยืมไอเดียมาจากอะไร หรือแม้กระทั่งว่าทั้งหมดนี้คือการดัดแปลงกีฬาอย่างดอดจ์บอลหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ มันเป็นกีฬาที่สนุกมาก ทำให้รู้สึกว่ากำลัง ‘เล่น’ มากกว่ากำลัง ‘แข่งขัน’

ผมเป็นคนไม่ค่อยแอกทีฟเท่าไหร่ เวลาเล่นกีฬาผมมักจะยืนเฉย ๆ ทำให้เพื่อนไม่ค่อยส่งบอลให้ และในเวลาที่เพื่อนเผลอส่งบอลให้ก็พิสูจน์ตัวเองอย่างรวดเร็วว่าไม่คู่ควรกับบอลที่ส่งให้เลย ด้วยเหตุนี้เวลาเล่นกีฬาทีมผมมักจะเป็นตัวสำรอง หรือเป็นคนท้าย ๆ ที่เพื่อนจะเลือกเข้าทีมเสมอ แต่กับเกมปาห่วงสิ่งที่ทำแค่ต้องวิ่งหนีหรือไม่ก็ปาห่วงใส่ฝั่งตรงข้าม การทำพลาดไม่ได้มีผลต่อคะแนน ไม่ได้มีผลต่อชัยชนะของทีม และหลายครั้งจำนวนผู้เล่นก็ค่อนข้างยืดหยุ่น ไม่จำเป็นต้องเท่ากันเสมอไป ถ้าหารไม่ลงตัวการมีคนที่เล่นกีฬาไม่เก่งเพิ่มเข้ามาอีกคนก็ไม่ได้ทำให้ทั้งสองฝ่ายมีปัญหา

ช่วงต้นเกมจะเป็นช่วงชลมุน เนื่องจากฝั่งหนีมีเยอะ การจะปาห่วงให้โดนใครสักคนไม่ใช่เรื่องยาก เป็นช่วงที่ฝีมือทางด้านกีฬาสามารถถูกลบล้างด้วยดวงได้ง่าย ๆ ซึ่งแน่นอนว่าเข้าทางผมเป็นอย่างดี

ช่วงท้ายเกมจะเป็นช่วงที่ยากเป็นพิเศษ ฝั่งปาห่วงจะเริ่มสรรหาเทคนิคต่าง ๆ มาเพื่อกำจัดผู้เล่นที่เหลืออยู่ ที่แม้พื้นที่จะแคบลง แต่ก็ปาให้โดนได้ยากขึ้น เพราะวิ่งได้อย่างอิสระ เทคนิคที่ว่ามีตั้งแต่การหลอก หรือการรับส่งห่วงอย่างรวดเร็ว การเพิ่มความแรง บางคนก็คิดท่าไม้ตายต่าง ๆ ให้ตัวเอง แต่ถึงแม้ว่าเกมจะยากขึ้น แต่ความกดดันกลับไม่ได้มากขึ้น คนที่เล่นกีฬาไม่เก่งอย่างผมกลับสนุกกับช่วงนี้มากขึ้นไปอีก บางครั้งผมเหลือเป็นคนสุดท้าย ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อนไม่ได้คาดหวังอะไร เตรียมตัวสลับไปเป็นฝั่งปาห่วงกันเรียบร้อย แต่ช่วงนี้แหละที่บางทีผมก็บังเอิญรับห่วงได้ และถ้าผมบังเอิญช่วยเพื่อนเก่ง ๆ กลับมาได้สำเร็จ เพื่อนเก่ง ๆ นี่ก็แทบจะช่วยเพื่อนกลับมาได้ยกทีม

เกมปาห่วงยางเป็นเกมที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เป็นฮีโร่ ต่างกับกีฬาอื่น ๆ ที่ฮีโร่ไม่ได้เกิดในสนาม แต่ถูกกำหนดตั้งแต่นอกสนามอยู่แล้ว การที่คนขี้แพ้ในทีมตกอยู่ในสถานการณ์ชี้เป็นชี้ตายกับกีฬาส่วนใหญ่แล้วนี่คือสถานการณ์แห่งความน่าผิดหวัง แต่กับกีฬาปาห่วงยางนี่คือสถานการณ์แห่งความหวัง

ผมคิดว่าคงมีโอกาสน้อยเต็มทีที่จะได้กลับไปเล่นปาห่วงยางกับเพื่อนจำนวนมากอีก โลกเรามาถึงจุดที่เราไม่ต้องทำลายความน่าเบื่อด้วยกีฬาปลอม ๆ แบบนี้อีก ไม่จำเป็นต้องเผลอตัวไปเล่นโดดยางหรือหมากเก็บ ไม่จำเป็นต้องหาอะไรทำ มีอะไรให้ทำเสมอ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากลองเป็นฮีโร่ในสนามอีกสักครั้ง

ไม่รู้ว่าจะได้เล่นปาห่วงยางอีกเมื่อไหร่ แต่ยังไงผมก็คงต้องขอบคุณใครก็ตามที่คิดการเล่นปาห่วงยางขึ้นมา ในตอนนั้นนอกจากการทำข้อสอบให้ได้คะแนนสูงกว่าคนอื่นแล้วผมก็แทบไม่รู้สึกว่าผมมีดีอะไรเลย อันที่จริงการทำข้อสอบให้ได้คะแนนดีก็แทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไร และผมก็ไม่ได้มีทางเลือกมากมาย การได้คะแนนน้อยมาพร้อมกับคำตำหนิ ความโกรธเกรี้ยว และอิสรภาพที่ลดลง การเล่นปาห่วงยางเป็นสิ่งที่ผมเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำ และเวลาที่ทำได้ดีก็ทำให้รู้สึกดีจริง ๆ

สร้างสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง (หรือเลิกทำลายสิ่งที่เหมาะกับตัวเองอยู่แล้ว)

เราอ่านบทสัมภาษณ์อาจารย์จุนจิ อิโต้ในหนังสือ ‘สู่ก้นบึ้งแห่งความสยอง เจาะลึก อิโต้ จุนจิ’ ด้วยความผิดหวังนิดหน่อย เพราะเคยอ่านบทสัมภาษณ์คนอื่นแบบที่เจาะลึกมากกว่านี้มาก่อน เราเลยคาดหวังว่าจะได้เห็นอะไรแบบนั้นในหนังสือเล่มนี้ ได้เห็นวิธีคิด วิธีทำงาน โดยละเอียด ของปรมาจารย์การ์ตูนสยองขวัญที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับเรา แต่บทสัมภาษณ์ในหนังสือก็ดูเป็นเป็นคำถามและคำตอบสั้น ๆ คร่าว ๆ ประหยัดเวลา ให้เราได้รู้อะไรหลายอย่าง อย่างละนิดอย่างละหน่อย แต่ไม่ได้รู้อะไรลึก ๆ จริง ๆ

คำถามที่ว่า “อาจารย์ไปเอาไอเดียมาจากไหน” ดูจะเป็นความลึกลับที่ผู้อ่านคงไม่มีวันได้รับคำตอบในเวลาอันใกล้ หรืออาจจะตลอดไป เราไม่แน่ใจว่าจุนจิ อิโต้รู้คำตอบ แต่เลือกที่จะไม่ตอบ หรือว่าจริง ๆ ก็เป็นเหมือนคนอื่น ที่เอาเข้าจริงก็ไม่รู้คำตอบนี้เหมือนกัน

อย่างไรก็ตามในหนังสือมีส่วนที่พาไปชมห้องทำงานของอาจารย์ ซึ่งเราไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะประสบการณ์ดูรายการทีวีประเภทพาไปชมบ้านคนดังก็ดูจะไม่ได้ให้อะไรมากไปกว่าความบันเทิง แต่เราคิดผิด ห้องทำงานของอาจารย์ทำให้เราเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการ DIY ที่เชื่อมาตลอดว่าหน้าที่ของ DIY คือการประหยัด หรือการเติมเต็มความต้องการลึก ๆ ในการลงมือทำอะไรบางอย่างด้วยตัวเอง เราไม่เคยมอง DIY ในแง่ของการสร้างสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่ในโลกนี้ให้เกิดขึ้น สิ่งที่เหมาะกับเรา

จุนจิ อิโต้ดัดแปลงเตียงสองชั้นให้เป็นที่ทำงาน ชั้นล่างเอาเตียงออกแล้วติดตั้งโต๊ะทำงานเข้าไป ชั้นบนปล่อยเป็นเตียงไว้ สามารถขึ้นไปงีบเวลาที่ต้องการพักได้ นอกจากนี้ราวเหล็กรองรับเตียงชั้นบนที่ในเวลานี้กลายเป็นเพดานห้องทำงานชั้นล่างยังสามารถใช้แขวนอะไรต่อมิอะไรเพื่อความสะดวกในการใช้งานได้ อะไรต่อมิอะไรนี่มีตั้งแต่ภาพที่ใช้อ้างอิงเวลาวาดการ์ตูน รีโมตแอร์ หรือปากกาเขียนการ์ตูน

ปากกาเขียนการ์ตูนที่อาจารย์แขวนไว้ไม่ได้แขวนเพื่อให้หยิบมาใช้ได้สะดวก แต่เป็นการแขวนไว้กับเชือกอีกที เพื่อให้ปากกาลอยขึ้นเหนือพื้น ซึ่งจะเป็นการลดน้ำหนักของปากกา และทำให้เขียนการ์ตูนได้นานขึ้นโดยที่มือไม่เจ็บ

(อาจารย์จุนจิ อิโต้ ผู้เขียนก้นหอยมรณะ ขณะกำลังวาดต้นฉบับที่โต๊ะทำงาน)

หลังจากเห็นห้องทำงานของอาจารย์ที่ทำหน้าที่เปิดเผยความคิดได้ดีกว่าบทสัมภาษณ์ เราก็เริ่มจะมองสิ่งรอบตัวแล้วถามตัวเองว่าเราสามารถดัดแปลงอะไรให้เหมาะกับเราได้อีก มีอะไรในชีวิตบ้างที่อาจจะเหมาะกับคนทั้งโลก แต่จริง ๆ แล้วไม่เหมาะกับเราเลย ขนมปังนุ่ม ๆ ดูจะเป็นอย่างแรกที่เราพบ

หลังจากกินขนมปังสไลซ์เราจะปิดปากถุงให้แน่นทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ขนมปังโดนลมและแข็ง แต่ว่าเอาเข้าจริงเราค้นพบมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าเราชอบกินขนมปังที่ผึ่งลมไว้จนแข็งมากกว่าขนมปังนุ่ม ๆ หลายร้อยเท่า ตอนที่ตั้งใจวางขนมปังทิ้งไว้ให้แข็งเพื่อจะเอาไปทำครูตองซ์ก็ยังรู้สึกดีที่ได้หั่นและจับขนมปังแข็ง ๆ และยังรอกินส่วนเกินที่หั่นทิ้งไม่ได้เอาไปใช้มากกว่าสิ่งที่ตั้งใจทำแต่แรกอีก

รู้สึกว่าโชคดีจังเลยที่ไม่ตายไปก่อนที่จะได้ค้นพบความจริงที่ตัวเองมองข้ามมาตลอด ต่อจากนี้เวลาเห็นขนมปังแถวคงรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พาขนมปังกลับบ้าน แกะออกจากถุง และวางทิ้งไว้ให้ขนมปังทั้งถุงเปลี่ยนสภาพไปเป็นขนมปังที่คนส่วนใหญ่มองว่ากินไม่ได้ แต่เป็นขนมปังที่อร่อยที่สุดสำหรับเรา

ยังมีอะไรอีกนะที่เราเปลี่ยนให้เหมาะกับตัวเองได้อีก มีอะไรอีกที่เหมาะกับตัวเองอยู่แล้วแต่เรากลับเปลี่ยนให้ไม่เหมาะกับตัวเองมาตลอด โดยไม่รู้ตัว ถ้าหาเจอก็คงใช้ชีวิตได้มีความสุขขึ้นอีกนิด


ภาพประกอบจากหนังสือ ‘สู่ก้นบึ้งแห่งความสยอง เจาะลึก อิโต้ จุนจิ’ โดย รักพิมพ์ พับลิชชิ่ง

แก้วกาแฟที่ไม่ทำให้รู้สึก

แก้วกาแฟที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานเราเป็นแก้วที่เราซื้อจาก IKEA ทำจากเซรามิก สีเทา มีหูจับ เหมาะกับการดื่มกาแฟเพราะสามารถจับแก้วได้โดยไม่รู้สึกร้อน ความร้อนจากเครื่องดื่มส่งมาไม่ถึงหูจับ ในแก้วมีกาแฟสำเร็จรูปรสชาติแย่ ๆ ที่เราเพิ่งเทน้ำร้อนใส่ลงไป สีของกาแฟสำเร็จรูปเวลาไม่ใส่น้ำตาลและครีมต่างจากสีของกาแฟสด กาแฟในแก้วตอนนี้ถ้าคนไม่รู้มาก่อนอาจคิดว่าเป็นเป๊ปซี่ ถ้าเราดื่มกาแฟจนหมดจะเห็นคราบสีน้ำตาลอยู่ด้านในแก้ว คราบนี้จะเข้มข้นเป็นพิเศษที่ก้นแก้ว

เรามักจะทิ้งแก้วกาแฟที่ดื่มเสร็จแล้วเอาไว้บนโต๊ะสักพัก ไม่ได้ล้างทันที และเวลาล้างก็ใช้เพียงสบู่ ใช้แค่มือถู ไม่ได้ใช้ใยขัด ซึ่งนานเข้าทำให้มีคราบกาแฟติดอยู่ที่แก้วที่คงจะหลุดออกได้ด้วยการขัดแรง ๆ เท่านั้น คราบพวกนี้จริง ๆ ก็คือคราบที่เห็นในแก้วกาแฟตอนแรก คราบในแก้วกาแฟตอนแรกไม่ใช่คราบกาแฟที่เพิ่งชง กาแฟดำไม่ได้ทิ้งคราบไว้บนแก้วให้เห็นได้ชัดขนาดนั้น เวลาเราเอาแก้วไปล้างเราก็คิดว่าแก้วสะอาดเอี่ยมอ่องทุกที ตอนที่เห็นคราบครั้งแรกยังคิดว่าครั้งนั้นล้างแก้วไม่สะอาด ทำให้ต้องเอาไปล้างอีกครั้ง แต่ก็พบว่าคราบยังอยู่เหมือนเดิม ถ้าดูดี ๆ จะเห็นว่าคราบสีน้ำตาลด้านในแก้วไม่ได้เรียบเนียนเสมอกัน แต่มีรอยขูดขีดไปมาเป็นเส้น เป็นรอยที่เกิดจากการลองขัดแก้วด้วยมือเปล่าและเลิกล้มไปเพราะรู้สึกว่าเสียเวลา เล็บมนุษย์มีความสามารถในการขัดคราบบนแก้วกาแฟต่ำกว่าใยขัดโง่ ๆ มาก

คราบกาแฟที่ว่าพอมาอยู่ในแก้วกาแฟที่ออกแบบมาแบบเรียบ ๆ ไม่ได้มีลวดลายอะไรก็ทำให้รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งสกปรกเหมือนกัน ก่อนหน้านี้เราชอบซื้อแก้วสวย ๆ แต่แก้วพวกนั้นใช้ไปใช้มาก็เบื่อ พอเบื่อแล้วก็ไม่ค่อยอยากหยิบมาใช้เท่าไหร่ ต่างจากแก้วที่เราไม่ได้รู้สึกชอบเป็นพิเศษตั้งแต่แรก กลายเป็นว่าแก้วแบบนี้อยู่กับเรานานกว่า

ข้าวของในห้องเราตอนนี้เป็นแบบแก้วกาแฟ เป็นการออกแบบที่น่าจะเรียกว่ามินิมัล เรียบ ๆ ไม่ได้มีลวดลายอะไร ไม่ใช่ว่าเราชอบการออกแบบสไตล์นี้ เราไม่ค่อยตื่นเต้นกับการได้เห็นข้าวของที่มันเรียบง่าย แต่เราเลือกข้าวของพวกนี้เพราะมันไม่รบกวนความคิดของเรา เราไม่ชอบที่เวลามองไปทางไหนแล้วก็มีเรื่องราวอยู่เต็มไปหมด เราคิดว่าแบบนี้ดีกับเราในการสร้างสรรค์งานมากกว่า เราไม่อยากให้ความคิดและจินตนาการของเราถูกหยุดเอาไว้ด้วยเรื่องราวเก่า ๆ แต่ว่าเรากำลังคิดว่าเราอาจจะคิดผิดก็ได้

เรากลับไปอ่านเงียนเขียนของเราในช่วงที่เราเขียนนู่นเขียนนี่เยอะเป็นพิเศษ เราคิดมาตลอดว่าตัวเราในอดีตเขียนได้ดีกว่านี้ งานหลาย ๆ ชิ้นที่เราเคยคิดว่าดีพอกลับไปอ่านกลายเป็นว่าห่วยแตกเป็นบ้า งานหลายชิ้นดีกว่าที่คิด และงานบางชิ้นดีอย่างที่คิด แต่ไม่ว่าคุณภาพงานจะเป็นแบบไหนสิ่งที่มีจุดร่วมกันอย่างหนึ่งคืองานดูจะมีขอบเขตของความคิดสร้างสรรค์ที่มากกว่า เรานึกถึงประสบการณ์ของตัวเองและประสบการณ์ของศิลปินคนอื่น ๆ ที่เราอ่านเจอ ที่บอกว่าไอเดียชอบออกมาตอนทำอะไรอย่างอื่นอยู่ แต่ตอนที่พยายามเค้นไอเดียทำแทบตายยังไงก็ไม่ออกมา

บางทีการมีข้าวของที่มีเรื่องราวและความรู้สึกมากมายอยู่ในห้องอาจมีประโยชน์กับเราในฐานะศิลปินมากกว่าที่เราคิด เราว่าไอเดียคือการเอาความทรงจำมารวมเข้ากับข้อมูลใหม่ แล้วสร้างเป็นสิ่งใหม่ออกมา ปัญหาคือการมองแก้วกาแฟสีเทาอันว่างเปล่าเราเห็นเพียงแก้วสีเทาอันว่างเปล่า แต่การมองแก้วสีน้ำเงินเข้มมีลวดลายที่แม้เราจะเบื่อไปแล้ว เราเห็นทั้งร้านที่เราไปซื้อ ประโยคที่เราพูดกับคนขาย เหตุผลที่เราไปที่ร้านนั้นตั้งแต่แรก และคนที่เราไปด้วย

มีอีกอย่างที่เราคิดว่าการเลือกข้าวของที่ไม่มีเรื่องราวอาจส่งผลกับเราโดยที่เราไม่รู้ตัว นั่นคือการเลี่ยงที่จะไม่รู้สึก การเลือกข้าวของที่ไม่ได้ทำให้ตื่นเต้นตั้งแต่แรกช่วยทำให้เราไม่ต้องรู้สึกแย่เมื่อถึงเวลาที่ของชิ้นนั้นไม่ได้สร้างความสุขให้เราอีกต่อไปแล้ว เพราะเราเลี่ยงที่จะรู้สึกในเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้ ทำให้เราเคยชินกับการไม่รู้สึกโดยไม่รู้ตัว และความรู้สึกนี่แหละที่สำคัญที่สุดสำหรับการเป็นนักเขียน อาจจะไม่ใช่นักเขียนทุกแบบ แต่อย่างน้อยก็สำคัญกับนักเขียนแบบที่เราอยากเป็น นักเขียนที่ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้รู้สึกหรือเป็นอะไรแบบที่เราเป็นอยู่คนเดียว

ว้าว่อนใจ

เราอยากเสนอคำศัพท์ใหม่ว่า ‘ว้าว่อนใจ’ เป็นภาวะความว้าวุ่นในจิตใจ ซึ่งนำไปสู่การทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อหวังจะให้ความว้าวุ่นหายไป แต่กลับยิ่งทำให้ความว้าวุ่นใจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คำนี้ต่างจากว้าวุ่นตรงที่สื่อความหมายถึงการทำอะไรอื่น ๆ ด้วยความว้าวุ่นไปด้วย จริง ๆ แล้วอยากเรียกคำนี้ว่าว้าว่อนแต่ดูเหมือนว่าคำนี้จะมีความหมายอยู่แล้ว แปลว่าเกลื่อนกล่นอยู่ในอากาศ

“เมื่อวันก่อนเราตื่นสายมากจนไม่ได้เขียนหนังสือตั้งแต่เช้าตามที่ตั้งใจไว้ พอไม่ได้ทำสิ่งสำคัญที่สุดก็กลายเป็นว่าทำอะไรด้วยความว้าว่อนใจไปทั้งวัน”

Money Well Spent: Monster Hunter Rise Collector’s Edition

Monster Hunter Rise Collector’s Edition เป็นชุดพิเศษของเกม Monster Hunter Rise ซึ่งในชุดประกอบด้วย

  • แผ่น Monster Hunter Rise Deluxe Edition
  • Magnamalo Amiibo
  • ชุดสติกเกอร์
  • เข็มกลัด Kamura Mark


ทั้งหมดนี้เราซื้อมาในราคา 4,250 บาท (ราคาเต็ม 4,590 บาท แต่ใช้โค้ดส่วนลด)

ราคาแผ่น Monster Hunter Rise Deluxe Edition แบบแยกซื้อ อยู่ที่ 2,250 บาท

ราคา Magnamalo Amiibo แบบแยกซื้อ อยู่ที่ 1,990 บาท

อาจคิดได้ง่าย ๆ ว่าราคาชุดสติกเกอร์ เข็มกลัด Kamura Mark และกล่อง Collector ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 350 บาท ถือเป็นราคาที่สมเหตุสมผลสำหรับคนที่เป็นแฟนมอนฮัน แต่ว่าเราไม่ได้อยากได้เข็มกลัด ไม่ได้อยากได้ Magnamalo Amiibo ไม่ได้อยากได้โค้ดของแถมต่าง ๆ ที่มากับแผ่น Deluxe Edition เลย เราอยากได้แค่สติกเกอร์มาติด MacBook

เราจ่ายเงินไป 4,590 บาท แทนที่จะจ่ายเงินซื้อแผ่นปกติในราคา 1,790 บาท จ่ายเงินเพิ่มมา 2,800 บาท เพื่อเอาสติกเกอร์อันเล็ก ๆ มาติดคอมพิวเตอร์

สารภาพว่าพอจ่ายเงินไปก็รู้สึกโหวง ๆ เหมือนกัน จ่ายเงินมากขนาดนี้เพื่อแค่นี้เหรอ อย่างอื่นก็ไม่ได้อยากได้เลย แต่พอมองย้อนไปก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจ กลับกันถ้าเราไม่ได้ซื้อชุด Collector มาเราคงเสียใจ เพราะตอนนี้ชุดนี้ก็แทบหาซื้อไม่ได้แล้ว และสติกเกอร์ก็ไม่ได้ขายแยก ไม่ได้มีวิธีอื่นในการได้มา

เรื่องนี้ทำให้เรานึกไปถึงตอนเด็ก ๆ เราเคยซื้อหมูปิ้งไม้ละ ​5 บาทกิน หมูปิ้งเป็นอาหารที่แทบไม่เคยทำให้เราผิดหวัง พอเราซื้อเสร็จเพื่อนเราก็พูดว่ามันแพง ซื้อมาได้ยังไง แถวบ้านเพื่อนขายไม้ละ 3 บาทเอง เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีกหลายครั้งในชีวิต ในรูปแบบที่ต่างกันไป บางครั้งเป็นการดูถูกอาหารที่เราเลือกกินว่ามันไม่อร่อย ที่อื่นอร่อยกว่า

อยากบอกตัวเองไว้ว่าคนเดียวที่จะกำหนดมูลค่าของสิ่งไหนได้ก็คือตัวเราเอง การจ่ายเงินซื้อหมูปิ้งแพงกว่าคนอื่นถ้ามันจะทำให้เรายิ้มกว้างจนน่าอิจฉาก็ไม่เห็นจะผิดอะไร การจ่ายเงินหลายพันเพื่อสติกเกอร์แผ่นเดียวที่เราอยากได้น่าจะเป็นเรื่องดีกว่าการจ่ายเงินหลายพันเพื่อซื้อเสื้อผ้าราคาแพงที่ลดราคาแบบไม่เกรงใจใครแต่เรารู้สึกว่าดีไซน์แบบนั้นน่าจะเอาไปเป็นผ้าปูโต๊ะกินข้าวหมามากกว่า

อาจไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่ยังรวมถึงเรื่องเวลา สิ่งที่เราให้ความสนใจ สถานที่ที่เราเลือกไป

Think for yourself, always.

Money Well Spent: สมุดวาดภาพและดินสอ

เราห่างหายจากการวาดภาพมานานมาก แต่เดิมเป็นคนไม่ชอบศิลปะอยู่แล้ว ตอนเด็กๆ วิชาศิลปะกับพละเป็นวิชาที่พอถึงคาบทีไรก็อยากจะหายตัวไปให้พ้น เป็นสองวิชาที่มักจะเจอครูผู้สอนที่ไม่น่าประทับใจ และเป็นสองวิชาที่ไม่ได้พัฒนาทักษะของนักเรียน เรียนเพื่อให้รู้ว่าตัวเองไม่ได้เก่งไปทุกอย่าง เรียนเพื่อให้รู้ว่าเด็กเรียนมักจะเล่นกีฬาไม่เก่ง และเด็กที่เล่นกีฬาเก่งมักจะเรียนไม่ดี (ซึ่งไม่เป็นความจริง)

แม้เราจะเกลียดวิชาศิลปะแต่การวาดรูปเล่นในหนังสือเรียนก็ยังสนุกกว่านั่งฟังครูสอน ทำให้การวาดรูปเวลาเบื่อๆ ก็ยังติดเป็นนิสัยต่อมา แต่แล้ววันนึงเราก็พบว่าตัวเองไม่ได้วาดรูปอีกเลย แม้จะเป็นการวาดรูปเล่นเวลาเบื่อๆ ก็ตาม สมุดบันทึกที่เคยมีรูปสลับกับตัวหนังสือก็เหลือเพียงตัวหนังสือเต็มหน้ากระดาษไปหมด

เหตุผลนึงที่ทำให้เราเลิกวาดรูปไปเป็นเพราะเรารักความสะอาดมากขึ้น แต่ว่าเราไม่ชอบการทำความสะอาด เราเลยเลือกที่จะไม่สร้างความสกปรกตั้งแต่แรก ซึ่งนั่นรวมถึงการไม่สร้างขี้ยางลบจากการลบดินสอด้วย อีกเหตุผลที่ทำให้เราเลิกวาดรูปไปอาจเป็นเพราะว่ายิ่งเวลาผ่านไปโอกาสที่จะได้เบื่อจริงๆ จังๆ ก็น้อยลงเรื่อยๆ ถ้าเมื่อไหร่มีอุปกรณ์ที่สามารถเข้าอินเตอร์เน็ตได้ก็บอกลาความเบื่อไปได้เลย

เราตัดสินใจกลับมาวาดรูปเพราะเราเจอปัญหาว่าเวลาเขียนเรื่องแต่งแล้วเราไม่สามารถจินตนาการหน้าตาและการแต่งกายของตัวละครได้อย่างสมบูรณ์ พอลองวาดออกมาก็ไม่ได้ดั่งใจ เพราะไม่เคยเรียนทักษะการวาดรูปตั้งแต่แรก เราคิดว่าการฝึกวาดรูปจะทำให้เราวาดภาพตัวละครในหัวได้ดีขึ้น รวมถึงกลับมามองสิ่งรอบตัวได้อย่างชัดเจนขึ้น ไม่ได้มองเห็นแค่ต้นไม้ แต่กลับมามองเห็นสีเขียวหลายเฉดสีของใบไม้แต่ละใบ มองเห็นรอยกัดของหนอน มองเห็นหนามที่โคนใบไม้ มองเห็นมดที่กำลังไต่อยู่บนต้นไม้ มองเห็นความโกรธเกรี้ยวหรือซู่ซ่าของมดแต่ละตัว

เราเริ่มวาดภาพแรกลงในสมุดเล่มใหม่ด้วยความไม่ประทับใจเท่าไหร่ สมุดสเก็ตช์และดินสอราคาแพงไม่ได้ทำให้วาดรูปออกมาได้ดีขึ้น แต่กลับทำให้แย่กว่าที่เคยจำได้ ความคาดหวังในอุปกรณ์ที่ซื้อมาใหม่ไม่ต่างอะไรจากความคาดหวังของครูศิลปะที่ตีมือนักเรียนเพื่อหวังจะให้นักเรียนวาดรูปออกมาสวย รูปที่ออกมากลายเป็นเพียงงานที่ไม่มีใครต้องการ แม้แต่ตัวคนวาดเองก็ตาม

บทเรียนแรกในคอร์สวาดรูปที่เราเลือกเรียนคือการวาดรูปอุปกรณ์ที่ตัวเองใช้ในการวาดภาพ ซึ่งเรามีแค่ดินสอที่เพิ่งซื้อมาใหม่ เราเลยใช้ดินสอเป็นแบบ แล้วเอาปากกาแถมฟรีที่ใช้เขียนบันทึกมาวาดรูปแทน ผลปรากฏว่าเราชอบลายเส้นและสีสันของปากกาลูกลื่นด้ามนี้มากกว่าของดินสอด้ามนี้อีก วาดไปก็คิดไปว่านี่เราจำกัดตัวเองอยู่แค่การวาดรูปด้วยดินสอมาตั้งนาน ทั้งๆ ที่ปากกาที่ใช้อยู่ทุกวันก็ใช้วาดรูปได้เหมือนกัน แล้วก็ไม่ทิ้งขี้ยางลบด้วย

พอมาคิดๆ ดู ที่เราชอบการวาดรูปด้วยปากกาอาจเป็นเพราะว่ามันเป็นอุปกรณ์ที่เราใช้อยู่ทุกวันก็ได้ และการวาดรูปเล่นแก้เบื่อส่วนใหญ่เราก็ทำด้วยปากกา ไม่ใช่ดินสอ บางทีวิชาศิลปะที่ถูกบังคับให้เรียนเป็นเวลาหลายปีอาจทำให้ทุกๆ ครั้งที่จับดินสอวาดรูปก็มีคำว่า “พอใช้” ที่ครูเคยให้บ่อยๆ ติดมือมาด้วยโดยไม่รู้ตัว

ตอนนี้รู้สึกสนุกกับการจับปากกาวาดรูปสิ่งต่างๆ รอบตัวมากเลยแหละ ตื่นเต้นกับความคิดที่ว่าจะได้เก็บความทรงของจำกาแฟแก้วโปรด หมาที่น่ารักเป็นพิเศษ หนอนที่บินได้ หรือคนที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุข ออกมาเป็นภาพวาดได้

ไม่รู้ว่าพอวาดภาพจากจินตนาการแล้วจะสนุกแบบนี้ไหม หวังว่าจะสนุกแบบนี้ แต่ถ้าไม่สนุกก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

Money Well Spent: แผ่นเกม Dark Souls ที่ไม่แน่ใจว่าจะเล่นได้ไหม

ความคุ้มค่าของการซื้อแผ่น Dark Souls ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องความสนุกของเกม แต่หมายถึงความคุ้มค่าของการยอมจ่ายเงินจำนวน 1,290 บาทเผื่อซื้อแผ่น PS3 มือหนึ่งในวันเวลาที่ควรจะซื้อแผ่นมือสองได้ในราคาประมาณ 300 – 400 บาท

เราซื้อแผ่น Dark Souls มือสองมาเมื่อหลายเดือนก่อนในราคา 340 บาท รวมค่าส่งแล้ว ซึ่งเป็นราคาที่ควรจะได้สำหรับแผ่นมือสองของเครื่องเกมตกยุคอย่าง PS3

หลังจากเล่นเกมจบไปหลายเกมและถึงเวลาของ Dark Souls เราพบว่าเกมมีปัญหา ใส่แผ่นไปแล้วขึ้น Error ต้องใส่แผ่นเข้าออกหลายๆ ครั้ง แล้วลุ้นเอาว่าครั้งไหนจะเข้าไปเล่นเกมได้ ทำแบบนี้ได้อยู่สองสามวันก็กลายเป็นว่าไม่ว่าจะใส่แผ่นเข้าออกกี่ครั้งก็ไม่สามารถเข้าเกมได้เลย

หลังจากค้นหาใน Goggle อยู่พักหนึ่งเราพบว่าเรามีทางเลือกสองทาง ทางแรกคือการแกะเครื่องออกมาทำความสะอาดหัวอ่าน (ตัดเรื่องเปลี่ยนหัวอ่านออกไปเพราะหาดูแล้วไม่เจอของที่มั่นใจได้ว่าเป็นของแท้) ทางที่สองคือการซื้อแผ่นใหม่ไปเลย (เกมไม่มีขายแบบดิจิตอล)

ปัญหาของวิธีแรกคือเราไม่แน่ใจว่าจะได้ผลไหม เคยมีคนที่เครื่องมีอาการแบบนี้แล้วใช้วิธีนี้แล้วหาย ซึ่งในกรณีนี้ต้องมั่นใจว่าแผ่นไม่ได้เสีย ซึ่งเราไม่แน่ใจว่าแผ่นมือสองที่ซื้อมาเสียหรือเปล่า แต่ถ้าวิธีนี้สำเร็จเราจะเสียเงินไปไม่กี่ร้อย เป็นค่านำ้ยาทำความสะอาดและไขควง

วิธีที่สองเราก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ผลหรือเปล่าเหมือนกัน และแผ่นเกม Dark Souls ที่เราหาได้เหลือแต่แผ่นมือหนึ่งและมีราคาแพงเกินไป ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้สุดท้ายเราจะมีแผ่นเกมสภาพดีสองแผ่นที่เล่นไม่ได้เพราะหัวอ่านเครื่องเกมไม่ดี

เราลองใส่แผ่นเกมอื่นๆ แล้วเล่นได้ปกติ แต่คนที่ใช้วิธีทำความสะอาดหัวอ่านแล้วหายก็บอกว่าเล่นเกมอื่นได้ปกติเหมือนกัน เป็นแค่บางเกมที่เล่นไม่ได้ เหมือนกับว่าพอหัวอ่านไม่ได้ดีเหมือนเดิมเครื่องก็เลยเลือกแผ่นมากกว่าปกติ แผ่นจะต้องสมบูรณ์จริงๆ ถึงจะเล่นได้

ทีนี้ถ้าเราใช้วิธีแรกแล้วไม่สำเร็จเรายังไม่สามารถตอบได้ว่าตกลงเป็นที่หัวอ่านหรือเปล่า บางทีการทำความสะอาดเฉยๆ อาจไม่พอ อาจต้องเปลี่ยนหัวอ่านไปเลย แต่ถ้าเลือกวิธีที่สอง จ่ายแพงหน่อย แต่แผ่นที่ได้มาเป็นแผ่นมือหนึ่ง มั่นใจได้ว่าแผ่นมีสภาพสมบูรณ์ ถ้าใส่แผ่นแล้วเล่นไม่ได้เราก็มั่นใจได้ว่าไม่ได้เป็นเพราะแผ่นแน่นอน แต่เป็นที่หัวอ่าน

สุดท้ายเราเลือกซื้อแผ่นใหม่ ปรากฏว่าเล่นได้ (ไชโย!) เป็นการยอมจ่ายเงินมากกว่าเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาที่อย่างน้อยถ้าไม่สำเร็จเราก็ยังได้คำตอบอะไรกลับมา พอเป็นแบบนี้เลยทำให้คิดว่าถ้าครั้งต่อไปต้องตัดสินใจ ไม่ว่าจะมีเงินมาเกี่ยวข้องหรือเปล่า การมองหาวิธีที่ต่อให้ไม่สำเร็จก็ยังสามารถให้คำตอบอะไรได้น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

Money Well Spent: เงินซักผ้ารอบสอง

อาทิตย์ก่อนมีเหตุการณ์ที่ค่อนข้างแปลกประหลาดเกิดขึ้นระหว่างการซักผ้าของเรา ปกติเวลาซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ เราจะลงไปเปิดฝาเครื่องซักผ้าทิ้งไว้ เดินขึ้นมาล้างมือ แล้วค่อยลงไปเอาผ้า เพราะเราคิดว่าฝาเครื่องซักผ้าสกปรก คนที่เอาผ้ามาซักต้องจับผ้าใช้แล้วของตัวเอง แล้วก็มาจับเครื่องซักผ้า ถ้าเปิดฝาทิ้งไว้ก็จะได้หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาได้เลย ไม่ต้องไปจับเครื่องซักผ้าอีก

ถึงจะบอกว่าเปิดฝาทิ้งไว้ก็เถอะ แต่ระยะเวลาระหว่างที่เราขึ้นมาล้างมือแล้วลงไปใหม่ยังไงก็ไม่เกินสามนาทีแน่นอน ที่ผ่านมาก็ใช้วิธีนี้มาตลอด แต่ว่าครั้งนี้พอลงไปกลับมีผู้หญิงรูปร่างอ้วนผิวคล้ำชะโงกหน้าดูผ้าของเราในเครื่องซักผ้าอยู่!

ด้วยความต้องการปกป้องผ้าสะอาดของตัวเองเราจึงรีบเดินไปที่เครื่องซักผ้าที่เราเปิดฝาทิ้งไว้ ผู้หญิงคนนั้นหันมามองเรา แล้วก็พูดว่า “ทำไมผ้าน้อยจัง”

ผู้หญิงคนนั้นหันกลับไปที่เครื่องซักผ้าแล้วใช้มือดึงถาดผงซักฟอกออกมา แล้วก็พูดว่า “ผงซักฟอกมันไม่ลงไป” ระหว่างนี้น้ำผงซักฟอกที่ค้างอยู่ในถาดผงซักฟอกก็ไหลลงมาโดนผ้าที่ซักเสร็จแล้วของเรา…

“แล้วนี่จะทำยังไงต่อ” ผู้หญิงคนนั้นถามเรา

เราที่กำลังช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอบกลับไปว่า “เดี๋ยวผมซักใหม่ละกัน” แล้วก็รีบเดินขึ้นมาหยิบเหรียญใหม่ หยิบผงซักฟอกใหม่ รีบกลับลงไปซักผ้าอีกรอบ เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้

ระหว่างรอซักผ้ารอบสองเรานั่งฟัง Podcast ที่โหลดมาใหม่ แต่ว่าฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ เพราะในใจคิดถึงแต่เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ผู้หญิงคนนั้นทำทั้งหมดนั่นเพื่ออะไร? อยากใช้เครื่องซักผ้าต่อแล้วไม่แน่ใจว่าผ้าในเครื่องคือซักผ้าคือผ้าที่ซักเสร็จแล้วหรือยังก็เลยเปิดถาดผงซักฟอกดูหรอ แต่ว่ามีเครื่องซักผ้าอีกเกือบสิบเครื่องที่ยังว่างเลยนะ หรือว่าเป็นโจรขโมยผ้าที่โดนจับได้พอดี หรือว่าเป็นคนชอบยุ่งกับเครื่องซักผ้าของคนอื่น หรือว่าเป็นคนเพี้ยนๆ เราพยายามหาเหตุผลที่จะทำให้ตัวเองไม่โกรธผู้หญิงคนนี้

พอครบเวลาเราก็ลงไปเอาผ้า เจอผู้หญิงคนนั้นกำลังเอาผ้าของตัวเองออกจากเครื่องซักผ้าอยู่เหมือนกัน พอเห็นเราก็ชวนเราคุย ถามว่า “เสร็จหรือยังล่ะ” ตอนแรกเราไม่ตอบอะไรกลับไป แต่สุดท้ายก็ตอบไปว่า “ยังครับ” เพราะไม่อยากจะทำเรื่องเสียมารยาท เพราะตัวเองก็ยังไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นรู้หรือเปล่าว่าทำอะไร รู้หรือเปล่าว่าตัวเองควรจะรับผิดชอบ

หลังจากตากผ้าเสร็จ หลังจากกลับไปใช้ชีวิตตามปกติต่อได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร นอกจากเวลาที่หายไปประมาณหนึ่งชั่วโมงและเงินอีกนิดหน่อย เราถึงเพิ่งคิดได้ว่าจริงๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผลของผู้หญิงคนนั้นในการที่เราจะไม่โกรธ

นี่ถือเป็นสิ่งใหม่สำหรับเรา ซึ่งเราคิดว่าอาจเป็นผลมาจากการทำสมาธิทุกวันเป็นเวลาเดือนกว่า ซึ่งส่งผลให้เราตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างใจเย็นขึ้น และพอเหตุการณ์ผ่านมาแล้วก็มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

จริงๆ แล้วความคิดทำนองนี้พระพุทธศาสนาพยายามบอกกับเรามาตลอด แต่เราก็ไม่เคยคิดว่ามันเป็นความคิดที่เข้าท่าเท่าไหร่ ถ้ามีคนมาทำร้ายเรา จะไม่ให้โกรธได้ยังไง เราคิดว่าเหตุผลที่เราไม่เคยชอบแนวคิดของพุทธที่เราเคยได้รู้มาก็เพราะพระพุทธศาสนาในไทยเกี่ยวโยงกับความดีงามมากเกินไป การไม่โกรธหมายถึงการเป็นคนมีเมตตา เป็นคนมีรัศมีความดีงามแผ่ออกมา เราไม่ใช่คนแบบนั้น และเราก็ไม่ชอบคบกับคนแบบนั้นเท่าไหร่

การที่เราบอกว่าเราไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผลของผู้หญิงคนนั้นในการไม่โกรธห่างไกลจากการเป็นคนดีมาก เราแค่คิดว่าการไม่โกรธดีกับเราที่สุด และเราไม่ได้รู้สึกเห็นใจหรือเข้าใจอะไรคนที่ทำให้เราต้องมาซักผ้ารอบสอง ถ้าเราไม่โกรธเราก็เสียแค่เงินกับเวลา แล้วเราก็กลับไปใช้ชีวิตปกติต่อได้ทันที

จริงๆ มันอาจไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่เราเริ่มมาทำสมาธิทุกวันก็ได้ แต่ถ้ามันเกี่ยวก็ถือเป็นการจ่ายเงินเพื่อทดสอบในสิ่งที่ตัวเองฝึกมาเป็นเวลาเดือนกว่าๆ ได้ดีมาก รู้สึกดีที่เทคโนโลยีทำให้การทำสมาธิกลายเป็นสิ่งที่อยู่ในแอป เอากรอบของความดีงามต่างๆ ที่ผูกติดอยู่กับการฝึกสิ่งที่มีประโยชน์ในชีวิตมากอย่างการฝึกสติออกไป และทำให้เรารู้สึกถึงประโยชน์ของหลักปฏิบัติทางศาสนาที่มีต่อชีวิตของตัวเอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องรับเอาความคิดและความเชื่อที่ตัวเองไม่เห็นด้วย หรือยังไม่แน่ใจว่าจะเห็นด้วยดีหรือเปล่า

Money Well Spent: นกฮูกยักษ์ไล่นก

ตั้งแต่ย้ายห้องใหม่เนี่ยเราก็ค่อนข้างมีปัญหากับบรรดานกตัวเล็ก ๆ ตรงที่มันชอบมาขี้ไว้ที่ระเบียง ซึ่งที่ผ่านมาตอนอยู่ที่อื่น นาน ๆ ทีเราถึงจะทำความสะอาดขี้นกออกไปที แต่ปัญหาคือปีนี้ฝนตกบ่อยมาก และตำแหน่งของระเบียงห้องใหม่เราเนี่ยทำให้เวลาฝนตกแรง ๆ มันจะพัดเข้ามาที่ระเบียงด้วย ทำให้เรารู้สึกว่าระเบียงสกปรก เพราะไม่ได้มีแค่ฝุ่นเฉย ๆ แต่มีขี้นกที่ฝนพัดเข้ามาด้วย

ช่วงแรกเราพยายามออกไปสำรวจขี้นกทุกวัน เพราะฝนตกแทบทุกวัน บางทีคิดว่าเอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้ก็กลายเป็นว่าตอนนอนอยู่ฝนก็ตก ต้องมาล้างระเบียงกันใหม่ นอกจากนี้พอออกไปสำรวจทุกวันก็เจอขี้นกทุกวัน ราวกับว่าระเบียงเป็นห้องน้ำของนกและเราเป็นพนักงานทำความสะอาด พอเป็นแบบนี้บ่อย ๆ เข้าก็เลยเหนื่อย คิดว่าต้องหาทางกำจัดนกออกไปแล้วล่ะ

เรื่องราวของคนที่พยายามไล่นกเต็มไปด้วยความล้มเหลว สิ่งที่ได้ผลดีที่สุดคือการติดลูกกรงหรือตาข่ายเอาไว้ไม่ให้นกบินเข้ามาได้ตั้งแต่แรก แต่เราไม่อยากได้แบบนั้น มันทำให้รู้สึกอึดอัด รู้สึกเหมือนตัวเองถูกขัง พอเราเล่าเรื่องนี้ให้โยฟัง โยบอกว่าที่บ้านป้าซื้อนกฮูกที่ตาเรืองแสงได้มาตั้งไว้ แล้วตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยเจอนกมาขี้อีกเลย​! รีวิวจากผู้ใช้จริงนี้สร้างความแปลกใจให้เรามาก ไม่เคยคิดว่าการซื้อสิ่งมีชีวิตปลอมมาหลอกนกจะได้ผล เพราะเหยี่ยวปลอมที่พ่อเราซื้อมาไว้ที่บ้านก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเป้าซ้อมระบบขับถ่ายของนกเลย

เราพยายามหานกแบบที่น่าจะเป็นแบบเดียวกับที่ป้าของโยใช้ ก็ไปเจอตัวหนึ่งที่ราคาเกือบพันบาท เป็นนกฮูกตัวใหญ่ เก็บพลังงานแสงอาทิตย์และปล่อยแสงออกจากตาได้เวลากลางคืน ซึ่งเราคิดว่าคงไม่ได้ใช้ประโยชน์จากแสงที่ตานกฮูกอยู่แล้ว เพราะนกมาช่วงกลางวัน ไม่ได้มากลางคืน แต่ก็ซื้อตัวนี้มาเพราะพอถามโยแล้วโยบอกว่าตัวนี้แหละที่ป้าซื้อมา เราคิดว่าจะเสียเงินทั้งทีก็ขอซื้อแบบที่มีคนใช้แล้วได้ผลดีไปเลย ถ้าไม่ได้ผลก็จะได้หาวิธีอื่นมาไล่นกที่ไม่ใช่การหาสัตว์นักล่าปลอมมาหลอก

ปรากฏว่ามันได้ผลแหละ! อย่างน้อยสองอาทิตย์แรกก็ไม่มีขี้นกมาให้เห็นอีกเลย พอมองออกไปก็เห็นนกตัวเล็กตัวน้อยจำนวนมากยืนเกาะสายไฟและมองกลับมาด้วยความโหยหาห้องน้ำที่กลายเป็นที่อยู่ของเหยี่ยวที่สั่งมาจาก Shopee ไปแล้ว

หลังจากนั้นเรายังได้ยินเสียงนกที่ระเบียงบ้าง ก็พยายามเปิดประตูออกไปให้มันตกใจ ให้มันรู้สึกว่าการชะล่าใจคิดว่านกฮูกยักษ์นี่เป็นของปลอมถือเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรง มีอยู่ครั้งหรือสองครั้งที่ขี้นกกลับมาอีก ก็เลยตามหาปืนอัดลม ตั้งใจจะเอามาใช้แทนการเปิดประตูให้ตกใจ แต่ปรากฏว่าระหว่างที่รอปืนอัดลมมาส่ง เราสังเกตว่าเราไม่ได้ยินเสียงนกที่ระเบียงอีกเลย คิดว่านกน่าจะถอดใจจากการที่พอบินมาที่ระเบียงแล้วก็ได้ยินเสียงเปิดประตูให้ตกใจน่ะแหละ

ผ่านมาเดือนนึงแล้วที่นกฮูกตัวนี้มาอยู่กับเรา ชีวิตดีขึ้นกว่าเดิมมาก ไม่ต้องเปลืองทิชชูเปียก สบู่ และเวลาที่ใช้ในการออกไปเช็ดขี้นก แม้ว่าถ้าดูจากวัสดุที่ใช้ทำนกฮูกที่เป็นพลาสติกเบาหวิวแล้วจะคิดว่าขายแพงเกินไปมาก แต่ก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากทีเดียว

ลาก่อน LAMY Safari

ปากกา LAMY Safari ด้ามนี้อยู่กับเรามาได้ปีครึ่งแล้ว แต่เป็นการอยู่ด้วยกันแบบที่ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันเท่าไหร่ ตั้งใจว่าจะทำให้การนั่งลงเขียนหนังสือเป็นอะไรที่มีความศักดิ์สิทธิ์ มีความเป็นพิธีกรรมบางอย่าง แต่กลายเป็นว่าการที่ต้องมาคอยเปลี่ยนหมึกปากกา และการที่เขียนเร็วเกินไปไม่ได้เพราะมือจะไปปาดหมึกแล้วทำให้เลอะ ทำให้สุดท้ายเราเขียนหนังสือน้อยลงกว่าที่เคย

เร็วๆ นี้เราสร้างวินัยให้ตัวเองและหยิบ LAMY มาเขียนต่อได้สำเร็จ แต่ก็เป็นการเขียนที่ทุลักทุเลพอสมควร ต้องคอยสั่งหมึกใหม่ทุกๆ สองอาทิตย์ ชงกาแฟเสร็จแล้วก็เขียนเลยไม่ได้ ต้องรอให้มือที่เพิ่งล้างมาแห้งก่อน ไม่งั้นถ้าน้ำจากมือไปโดนหมึกที่เขียนเอาไว้ก็จะกลายเป็นรอยหมึกเลอะเทอะไปหมด แต่เราก็ทำใจยอมรับสภาพนี้ คิดว่าจะลองเปลี่ยนกระดาษหรือเปลี่ยนเป็นหมึกกันน้ำหรือหมึกที่แห้งเร็วกว่านี้ดู

จนกระทั่งเรากลับไปอ่านงานเก่าที่เราเขียนไว้

เราจำไม่ได้ว่าทำไมเราถึงไปเปิดงานเก่าที่เราเขียนไว้ หยุดเขียนไป และตั้งใจจะเริ่มใหม่พร้อมกับปากกาที่ซื้อมาด้ามนี้ แต่สิ่งที่เราพบคือเราชอบงานเขียนในตอนนั้นมากกว่าตอนนี้มาก และต้องยอมรับกับตัวเองว่าตัวเราในตอนนี้ไม่สามารถที่จะเขียนงานแบบตอนนั้นได้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเราเปลี่ยนไป กลายเป็นคนที่โกรธโลกใบนี้มากกว่าเดิม อีกส่วนหนึ่งเราคิดว่าอาจเป็นเพราะการใช้ปากกา LAMY นี่แหละ

เราเคยสังเกตว่างานเขียนของตัวเองที่เราชอบมักจะเกิดจากการที่ความคิดในหัวเราลงสู่กระดาษเลย ไม่ได้กลั่นกรองอะไรมากมาย เหมือนกับหน้ากระดาษและตัวหนังสือเป็นเครื่องมือถ่ายทอดความคิดเท่านั้น การเขียนแบบนี้เหมาะกับการเขียนด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำได้เร็วกว่าการใช้มือเขียน

การเปลี่ยนมาใช้ปากกาหมึกซึมทำให้เราเขียนได้ช้าลง ด้วยข้อจำกัดเรื่องหมึกอย่างที่บอกไป และต่อให้เปลี่ยนไปใช้ปากกาลูกลื่นก็ยังเร็วสู้การพิมพ์กับคีย์บอร์ดไม่ได้อยู่ดี นอกจากนี้การเขียนเร็วๆ ก็ทำให้ลายมือไม่สวย ทำให้ไม่อยากกลับมาอ่านซ้ำ พอเป็นแบบนั้นก็เลยไม่อยากเขียนเร็วตั้งแต่แรก

เป็นไปได้ว่าการเปลี่ยนรูปแบบการเขียนทำให้รูปแบบการคิดของเราเปลี่ยนไปด้วย เราปรับความคิดให้ช้าลงตามการเขียนของเราโดยไม่รู้ตัว

ตอนนี้ก็เลยกลับมาเขียนด้วยคอมพิวเตอร์แล้วล่ะ แล้วก็บอกลาปากกาหมึกซึมแล้ว แม้จะเคยคิดว่าการได้ใช้หมึกชื่อเก๋ๆ นี่น่าจะทำให้รู้สึกดีมากๆ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าไม่เหมาะกับชีวิตตัวเองเท่าไหร่

ว่าแต่จะมีอะไรในชีวิตอีกบ้างนะ ที่สิ่งที่จินตนาการเอาไว้กับความเป็นจริงมันไม่เหมือนกัน แต่เรายังเลือกอยู่กับความเข้ากันไม่ได้นั้นโดยไม่รู้ตัว

อะไรหลายๆ อย่างก็คงมีเวลาหมดอายุของมัน ไม่ใช่แค่กับอาหาร บางทีเราอาจไม่ได้เกลียดใครที่เราเคยเกลียดอีกต่อไปแล้ว บางทีเราอาจไม่ได้ตื่นเต้นกับที่ที่เราเคยอยากไปอีกต่อไปแล้ว บางทีเราอาจไม่ได้รู้สึกกังวลอีกแล้วว่าใครจะมองเรายังไงถ้าเราอยากแสดงความรักต่อคนที่เรารักเวลาอยู่ข้างนอก